แท็ก
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ธนาคารยูโอบี
คณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติที่มีต่อผู้สูงอายุ พ.ศ. 2550 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
สำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติที่มีต่อผู้สูงอายุ พ.ศ. 2550 โดยสอบถามประชาชนที่มีอายุระหว่าง 18 — 59 ปี ทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีประชาชนถูกเลือกเป็นตัวอย่าง 9,000 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 16 — 23 กุมภาพันธ์ 2550 โดยเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผลการสำรวจมีสาระสำคัญ สรุปดังนี้
1. การทราบเกี่ยวกับการมีพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ 62.7% ระบุว่า ไม่ทราบเกี่ยวกับการมีพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ที่ระบุว่าเคยทราบมีเพียง 24.5% และไม่แน่ใจ 12.8%
2. ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ (91.4%) เห็นว่าควรมีการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ไม่แน่ใจมี 4.9% และไม่ควรเตรียมการมี 3.7% โดยในกลุ่มที่เห็นว่าควรหรือไม่แน่ใจในการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ที่ควรเตรียมการดังนี้ ด้านการเงิน (98.8%) สุขภาพ (96.9%) ที่อยู่อาศัย (96.5%) จิตใจ (93.8%) ผู้ที่จะมาดูแลในอนาคต (89.4%) และมรดก (84.6%) และเมื่อสอบถามเกี่ยวกับช่วงอายุที่ควรเตรียมการ กลุ่มประชาชนที่เห็นว่าควร/ไม่แน่ใจในการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับช่วงอายุที่ควรเริ่มเตรียมการ คือ ควรเริ่มตั้งแต่อายุระหว่าง 40 — 49 ปี (35.0%) รองลงมาอายุ 50 — 59 ปี (30.9%) ก่อนอายุ 40 ปี (26.5%) และตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป (7.6%)
3. ทัศนคติเกี่ยวกับผู้สูงอายุ เรื่องที่ประชาชนเห็นด้วยเกี่ยวกับผู้สูงอายุมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่สังคมควรให้สิทธิประโยชน์เป็นพิเศษ (91.5%) รองลงมาเป็น ผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่ควรได้รับความเคารพนับถือเสมอ (91.4%) ส่วนเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยน้อยที่สุด คือ ผู้สูงอายุควรไปอยู่อาศัยในวัด (7.9%)
4. ความคิดเห็นเกี่ยวกับอายุที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนควรกำหนดให้เป็นอายุเกษียณ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า ควรกำหนดที่อายุ 60 ปีมากที่สุด (52.2%) รองลงมาคือ อายุ 55 ปี (19.8%) อายุ 65 ปี (12.3%) อายุ 50 ปีและ น้อยกว่า 50 ปี (9.7%) อายุ 70 ปีขึ้นไป (3.3%) และไม่ควรกำหนดอายุ (2.7%)
5. ความคิดเห็นเกี่ยวกับบุคคลที่ควรมีหน้าที่หลักในการดูแลผู้สูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ (65.1%) ระบุว่า ควรเป็นหน้าที่หลักของบุตร รองลงมาเป็นตัวผู้สูงอายุเอง (13.8%) คู่สมรส (10.1%) รัฐบาล (7.7%) ญาติและอื่น ๆ (3.3%)
6. ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเต็มใจและความสามารถในการจ่ายเงินสะสมเพื่อเป็นหลักประกันยามสูงอายุ หากต้องจ่ายเงินให้รัฐเดือนละ 200 บาท และเมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินบำนาญเดือนละ 2,000 บาท นั้น มีประชาชนระบุว่า เต็มใจและสามารถจ่ายเงินให้รัฐได้ (49.4%) รองลงมาคือ เต็มใจแต่ไม่สามารถจ่ายได้ (20.9%) แล้วแต่กรณี (18.1%) ไม่เต็มใจและไม่สามารถจ่ายได้ (7.4%) และไม่เต็มใจแต่สามารถจ่ายได้ (4.2%)
7. หลักประกันด้านการเงินยามสูงอายุ กลุ่มที่เป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนใหญ่ระบุเกี่ยวกับการเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญว่า เมื่อออกจากงานหรือเกษียณจะเลือก/ได้เลือกบำนาญ 62.3% รองลงมายังไม่ตัดสินใจ 21.4% และจะเลือก/ได้เลือกรับบำเหน็จ 16.3%
8. สำหรับกลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนอื่น ๆ เพื่อยามชราภาพว่า ส่วนใหญ่ 71.5% ไม่ได้เป็นสมาชิกฯ มีเพียง 23.3 % ที่เป็นสมาชิกฯ ส่วนที่เหลือ 5.2% ระบุว่าเคยเป็นสมาชิกฯ แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็น
9. แหล่งเงินที่จะเป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูตนเองยามสูงอายุที่ประชาชนคาดหวัง 5 อันดับแรก คือ จากบุตร (32.6%) รองลงมาคือ การทำงานเลี้ยงตนเอง (27.2%) เงินออม/ทรัพย์สิน (22.7%) คู่สมรส (7.4%) และจากรัฐบาล (เบี้ยยังชีพ) (4.4%)
10. การได้เตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อยามสูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า เคยคิดและได้เตรียมการมากที่สุดในเรื่อง การออมหรือสะสมเงินทอง ทรัพย์สินให้เพียงพอใช้ในวัยสูงอายุ (57.6%) รองลงมาเป็นการทำตัวเองให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรงก่อน/และเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ (52.1%) ส่วนเรื่องที่ไม่เคยคิดเตรียมการ คือ เรื่องการทำศพสำหรับตัวเอง (40.4%) และการทำงานให้ชุมชนหรือเป็นอาสาสมัครเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ (40.2%)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 เมษายน 2550--จบ--
สำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความรู้และทัศนคติที่มีต่อผู้สูงอายุ พ.ศ. 2550 โดยสอบถามประชาชนที่มีอายุระหว่าง 18 — 59 ปี ทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีประชาชนถูกเลือกเป็นตัวอย่าง 9,000 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 16 — 23 กุมภาพันธ์ 2550 โดยเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผลการสำรวจมีสาระสำคัญ สรุปดังนี้
1. การทราบเกี่ยวกับการมีพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ 62.7% ระบุว่า ไม่ทราบเกี่ยวกับการมีพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ที่ระบุว่าเคยทราบมีเพียง 24.5% และไม่แน่ใจ 12.8%
2. ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ (91.4%) เห็นว่าควรมีการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ไม่แน่ใจมี 4.9% และไม่ควรเตรียมการมี 3.7% โดยในกลุ่มที่เห็นว่าควรหรือไม่แน่ใจในการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ที่ควรเตรียมการดังนี้ ด้านการเงิน (98.8%) สุขภาพ (96.9%) ที่อยู่อาศัย (96.5%) จิตใจ (93.8%) ผู้ที่จะมาดูแลในอนาคต (89.4%) และมรดก (84.6%) และเมื่อสอบถามเกี่ยวกับช่วงอายุที่ควรเตรียมการ กลุ่มประชาชนที่เห็นว่าควร/ไม่แน่ใจในการเตรียมการเพื่อวัยสูงอายุ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับช่วงอายุที่ควรเริ่มเตรียมการ คือ ควรเริ่มตั้งแต่อายุระหว่าง 40 — 49 ปี (35.0%) รองลงมาอายุ 50 — 59 ปี (30.9%) ก่อนอายุ 40 ปี (26.5%) และตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป (7.6%)
3. ทัศนคติเกี่ยวกับผู้สูงอายุ เรื่องที่ประชาชนเห็นด้วยเกี่ยวกับผู้สูงอายุมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่สังคมควรให้สิทธิประโยชน์เป็นพิเศษ (91.5%) รองลงมาเป็น ผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่ควรได้รับความเคารพนับถือเสมอ (91.4%) ส่วนเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยน้อยที่สุด คือ ผู้สูงอายุควรไปอยู่อาศัยในวัด (7.9%)
4. ความคิดเห็นเกี่ยวกับอายุที่หน่วยงานภาครัฐ/เอกชนควรกำหนดให้เป็นอายุเกษียณ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า ควรกำหนดที่อายุ 60 ปีมากที่สุด (52.2%) รองลงมาคือ อายุ 55 ปี (19.8%) อายุ 65 ปี (12.3%) อายุ 50 ปีและ น้อยกว่า 50 ปี (9.7%) อายุ 70 ปีขึ้นไป (3.3%) และไม่ควรกำหนดอายุ (2.7%)
5. ความคิดเห็นเกี่ยวกับบุคคลที่ควรมีหน้าที่หลักในการดูแลผู้สูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ (65.1%) ระบุว่า ควรเป็นหน้าที่หลักของบุตร รองลงมาเป็นตัวผู้สูงอายุเอง (13.8%) คู่สมรส (10.1%) รัฐบาล (7.7%) ญาติและอื่น ๆ (3.3%)
6. ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเต็มใจและความสามารถในการจ่ายเงินสะสมเพื่อเป็นหลักประกันยามสูงอายุ หากต้องจ่ายเงินให้รัฐเดือนละ 200 บาท และเมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินบำนาญเดือนละ 2,000 บาท นั้น มีประชาชนระบุว่า เต็มใจและสามารถจ่ายเงินให้รัฐได้ (49.4%) รองลงมาคือ เต็มใจแต่ไม่สามารถจ่ายได้ (20.9%) แล้วแต่กรณี (18.1%) ไม่เต็มใจและไม่สามารถจ่ายได้ (7.4%) และไม่เต็มใจแต่สามารถจ่ายได้ (4.2%)
7. หลักประกันด้านการเงินยามสูงอายุ กลุ่มที่เป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ส่วนใหญ่ระบุเกี่ยวกับการเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญว่า เมื่อออกจากงานหรือเกษียณจะเลือก/ได้เลือกบำนาญ 62.3% รองลงมายังไม่ตัดสินใจ 21.4% และจะเลือก/ได้เลือกรับบำเหน็จ 16.3%
8. สำหรับกลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนอื่น ๆ เพื่อยามชราภาพว่า ส่วนใหญ่ 71.5% ไม่ได้เป็นสมาชิกฯ มีเพียง 23.3 % ที่เป็นสมาชิกฯ ส่วนที่เหลือ 5.2% ระบุว่าเคยเป็นสมาชิกฯ แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็น
9. แหล่งเงินที่จะเป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูตนเองยามสูงอายุที่ประชาชนคาดหวัง 5 อันดับแรก คือ จากบุตร (32.6%) รองลงมาคือ การทำงานเลี้ยงตนเอง (27.2%) เงินออม/ทรัพย์สิน (22.7%) คู่สมรส (7.4%) และจากรัฐบาล (เบี้ยยังชีพ) (4.4%)
10. การได้เตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อยามสูงอายุ ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า เคยคิดและได้เตรียมการมากที่สุดในเรื่อง การออมหรือสะสมเงินทอง ทรัพย์สินให้เพียงพอใช้ในวัยสูงอายุ (57.6%) รองลงมาเป็นการทำตัวเองให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรงก่อน/และเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ (52.1%) ส่วนเรื่องที่ไม่เคยคิดเตรียมการ คือ เรื่องการทำศพสำหรับตัวเอง (40.4%) และการทำงานให้ชุมชนหรือเป็นอาสาสมัครเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ (40.2%)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 เมษายน 2550--จบ--