เรื่อง รายงานผลการประชุมหารือกับผู้แทนประเทศสาธารณรัฐอินเดียเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการประชุมหารือกับผู้แทนประเทศสาธารณรัฐอินเดียเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อินเดีย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการจัดทำกรอบการเจรจาการค้า เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาต่อไป
ข้อเท็จจริง
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรตามความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย—อินเดีย ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง โดยวิธีการขอเพิ่มเติมข้อบทที่ว่าด้วยการซื้อขายผ่านประเทศที่สาม หรือที่เรียกว่า “Third Party Invoicing” ลงในความตกลง FTA ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (Early Harvest Scheme) ในแนวทางเดียวกันกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย—ญี่ปุ่น (JTEPA) นั้น
กระทรวงการคลังขอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีว่า ภายหลังจากที่ฝ่ายอินเดียได้ตอบรับการทาบทามจากฝ่ายไทยในการขอพบปะหารือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และคณะ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วย นายกฤต ไกรจิตติ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงนิวเดลี จึงได้เข้าพบ Mr.Jyotiraditya Scindia Minister of State (Commerce and Industry) ของประเทศอินเดียและคณะ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ผลการหารือทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะให้สินค้าภายใต้กรอบความตกลง FTA ไทย—อินเดีย ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (Early Harvest Scheme) สามารถซื้อขายผ่านประเทศที่สามได้ (Third Party Invoicing) โดยจะได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทดังกล่าวไว้ในความตกลงฯ ฉบับปัจจุบันและจะไม่มีผลย้อนหลังแต่อย่างใด
โอกาสเดียวกันนี้ ทางฝ่ายอินเดียได้หยิบยกประเด็นปัญหาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่สินค้าประเภทตู้เย็นภายใต้ความตกลงฉบับดังกล่าวว่า ตู้เย็นชนิดที่ใช้ตามบ้านเรือน ซึ่งประตูนอกเป็นแบบบานเดียว ไม่แยกจากกัน จะได้รับสิทธิประโยชน์ ในขณะที่ตู้เย็นชนิดเดียวกัน แต่มีประตูนอกแยกจากกัน กลับไม่ได้รับสิทธิประโยชน์แต่อย่างใด จึงขอให้พิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทที่ว่าด้วยการให้สิทธิประโยชน์แก่สินค้าประเภทตู้เย็นในคราวเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งคณะผู้แทนไทยได้ขอรับมาพิจารณาก่อน โดยจะได้นำไปหารือในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ต่อไป ทั้งสองฝ่ายจึงได้มีข้อยุติในการหารือโดยขอให้แต่ละฝ่ายเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนตุลาคม 2553 เพื่อให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทดังกล่าวในทั้งสองประเด็นให้มีผลบังคับใช้ได้โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ โดยได้จัดทำบทสรุปจากการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น (Summary of Discussion) ตามที่ส่งมาด้วยพร้อมนี้
อนึ่ง นอกเหนือจากประเด็นข้อหารือข้างต้น เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงนิวเดลี ได้ขอให้ฝ่ายอินเดียให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยการเชื่อมโยงช่องทางคมนาคม ทั้งทางบก และทางอากาศ ผ่านทางประเทศพม่า เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระหว่างประชาชนในกลุ่มภูมิภาคเอเชียใต้กับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป ซึ่งฝ่ายอินเดียแจ้งว่า รัฐบาลอินเดียมีนโยบายที่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Connectivity) เช่นกัน พร้อมทั้งยินดีที่จะให้การสนับสนุนหากฝ่ายไทยโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงนิวเดลี จะเข้าไปดำเนินกิจกรรมใดๆ ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย—อินเดีย ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 16 สิงหาคม 2553--จบ--