การจำหน่ายหลักทรัพย์เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นตามแผนของกระทรวงการคลัง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 1, 2010 11:40 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง การจำหน่ายหลักทรัพย์เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นตามแผนของกระทรวงการคลัง [กรณีบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)]

คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการให้กระทรวงการคลังจำหน่ายหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บมจ. เอสโซ่) ให้แก่กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ภายใต้ข้อตกลงเดียวกับกองหลักทรัพย์เดิมที่กระทรวงการคลังได้จำหน่ายให้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เพื่อให้ได้เงินภายในวงเงินไม่เกิน 1,700 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณากำหนดจำนวน ราคา และหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายหุ้น บมจ.เอสโซ่ ดังกล่าวต่อไป และให้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้น บมจ.เอสโซ่ เข้าบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นเพื่อนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย

สาระสำคัญของเรื่อง

กระทรวงการคลัง (กค.) รายงานว่า

1. ปัจจุบัน บกท.มีแผนจะเพิ่มทุนจำนวน 15,000 — 20,000 ล้านบาท ในเดือนกันยายน 2553 เพื่อให้ บกท.มีปริมาณเงินทุนที่เพียงพอต่อการลงทุนและมีปริมาณเงินสดที่เพียงพอต่อการดำเนินงานของ บกท.ในอนาคต เพื่อให้ บกท.มีความสามารถในการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวและไม่ประสบปัญหาสภาพคล่อง หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นอีก ซึ่งที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ดังนี้

1.1 อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บกท.จาก 16,989,009,500 บาท เป็น 26,989,009,500 บาท

1.2 อนุมัติจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ต่อประชาชน

1.3 อนุมัติการมอบหมายอำนาจให้คณะกรรมการ บกท.หรือบุคคลที่คณะกรรมการ บกท. มอบหมายในการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ กค. เพื่อให้ กค.ถือหุ้นในสัดส่วนประมาณร้อยละ 51.03 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ บกท. ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนซึ่งปัจจุบัน กค.ถือหุ้น บกท.จำนวน 866,997,841 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เป็นเงิน 8,669,978,410 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.03 ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว และเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าว กค.จะต้องเตรียมเงินเพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 7,655 — 10,200 ล้านบาท

2. สำหรับเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน บกท.ของ กค.จะใช้เงินจากบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้น แต่เนื่องจากเงินในบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นมียอดเงินคงเหลือไม่เพียงพอในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนของ กค. (ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2553 มียอดเงินคงเหลือ6,433,067,333.04 บาท) ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขายหลักทรัพย์ที่ กค.ถืออยู่เพื่อนำเงินไปชำระค่าหุ้นรายการดังกล่าวภายในวงเงินไม่เกิน 1,700 ล้านบาท โดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากเพื่อการซื้อหุ้นซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 24 วรรคสี่ (4) และวรรคห้า ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นไปซื้อหุ้นนิติบุคคลอื่นโดยไม่ต้องนำส่งคลัง

3. สำหรับหุ้นที่ กค.จะจำหน่ายเพื่อนำเงินมาชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน บกท.นั้น ต้องเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถจำหน่ายได้ ซึ่งได้แก่ หุ้น บมจ.เอสโซ่ แต่เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ กค. จะจำหน่ายมีปริมาณและมูลค่ามาก การจำหน่ายหลักทรัพย์ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องทยอยจำหน่ายซึ่งจะใช้เวลานานและอาจมีผลกระทบต่อตลาดโดยรวม ดังนั้น ในหลักการเห็นสมควรจำหน่ายหุ้น บมจ.เอสโซ่ ตรงให้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ภายใต้ข้อตกลงเดียวกับกองหลักทรัพย์เดิมที่ กค.ได้จำหน่ายให้กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เมื่อครั้งเริ่มจัดตั้งกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เมื่อปี 2546 ซึ่ง กค.สามารถซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวคืนได้เมื่อสิ้นสุดโครงการในปี 2556 ทั้งนี้ การจำหน่ายหุ้น บมจ.เอสโซ่ ดังกล่าว กค.จะเป็นผู้พิจารณากำหนดจำนวน ราคา และหลักเกณฑ์ ในการจำหน่ายหุ้น บมจ. เอสโซ่ ดังกล่าวต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐและไม่กระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 สิงหาคม 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ