ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรไทย-ภูฏาน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 1, 2010 11:55 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอทั้ง 4 ข้อดังนี้

1. อนุมัติให้จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตรและป่าไม้แห่งราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ตามร่างที่ กษ. เสนอ

2. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนามหากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของ กษ. และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)

3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ

4. อนุมัติให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ในการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ

สาระสำคัญของเรื่อง

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) รายงานว่า

1. หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (2 เมษายน 2545) กษ. ได้จัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเกษตรและป่าไม้แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน ผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ในขณะนั้น) ผู้ลงนามฝ่ายภูฏาน คือ Hon. Lyonpo Kinzang Dorji รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ ความตกลงฯ มีอายุ 5 ปี นับแต่วันลงนาม หลังจากนั้นสามารถขยายระยะเวลาต่อไปได้อีก 2 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การค้า การฝึกอบรม และความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตรระหว่างกัน

2. ผลการดำเนินความร่วมมือที่ผ่านมามีการให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านผู้เชี่ยวชาญ การจัดการฝึกอบรม สัมมนา และแลกเปลี่ยนการศึกษา ดูงานด้านการเกษตร ปศุสัตว์ การพัฒนาการเกษตรที่สูง การอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ และการส่งเสริมด้านการค้าสินค้าเกษตร และอื่น ๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน

3. เนื่องด้วยความตกลงฯ ฉบับดังกล่าวมีอายุ 5 ปี และได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2550 กษ. และกระทรวงเกษตรและป่าไม้ภูฏานเห็นพ้องต้องกันว่า ความตกลงดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการพัฒนาการเกษตรและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ จึงมีการต่ออายุความตกลงฯ ไปอีก 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งความตกลงฯ ได้หมดอายุลงอีกครั้งในเดือนเมษายน 2552 ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นควรจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยไม่ถือว่าเป็นสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลของประเทศทั้งสอง มีสาระสำคัญครอบคลุมถึงความร่วมมือทางวิชาการในด้านสัตว์ ประมง พืช ชลประทาน การจัดการดินและน้ำ การพัฒนากลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรฐานอาหาร การส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานภายใต้องค์การระหว่างประเทศและองค์กรระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตรระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน ในอนาคต

4. กษ. ได้ขอให้ กต. พิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ในประเด็นด้านสารัตถะและขอทราบความเห็นในประเด็นที่เกี่ยวกับมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่ง กต. โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายได้ให้ความเห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ไม่เข้าข่ายสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่น่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 แต่อย่างไรก็ตาม ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ อาจมีผลผูกพันรัฐบาลไทยในเชิงนโยบาย จึงควรพิจารณาเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบและให้ความเห็นชอบในเชิงนโยบายก่อนการลงนาม รวมทั้งปรับปรุงถ้อยคำในสารัตถะ ซึ่ง กษ. ได้ปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามความเห็นของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. เรียบร้อยแล้ว

5. กษ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าร่างข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทางวิชาการในด้านสัตว์ ประมง พืช ชลประทาน การจัดการดินและน้ำ การพัฒนากลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ มาตรการสุขอนามัย และสุขอนามัยพืชและมาตรฐานอาหาร ซึ่งไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง จึงไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 190

6. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเดินทางไปเยือนภูฏานตามคำเชิญของ Hon. Lyonpo Pema Gyamtsho รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ภูฏานอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 1 — 5 กันยายน 2553 หากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างการเยือนก็จะเป็นผลดีในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 สิงหาคม 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ