เรื่อง การต่ออายุบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักพลังงานปรมาณู กระทรวงศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง
สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย
เพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปรมาณู
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักพลังงานปรมาณู กระทรวงศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปรมาณู ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ ให้ วท. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
2. อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ
3. มอบหมายให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการสำนักงานปรมาณู เพื่อสันติ เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) รายงานว่า
1. บันทึกความเข้าใจฯ (ตามมติคณะรัฐมนตรี 16 ธันวาคม 2546) มีระยะเวลา 5 ปี และได้สิ้นสุดลงเมื่อ 25 มีนาคม 2552 ซึ่งในขณะนั้นสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้ปรับโครงสร้างโดยแยกภารกิจด้านการวิจัยและพัฒนาออกไปเป็นสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติทำหน้าที่เป็นหน่วยงานด้านการกำกับดูแลการใช้พลังงานปรมาณูของประเทศไทย
2. บันทึกความเข้าใจดังกล่าวเป็นความตกลงที่ก่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านนิวเคลียร์ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยในด้านการกำกับดูแลความปลอดภัยในการใช้พลังงานปรมาณู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้บุคลากรของไทยมีความพร้อมในการเตรียมการรองรับโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ในอนาคต
3. วท. เห็นควรต่ออายุความร่วมมือดังกล่าว โดยปรับปรุงเนื้อหาของบันทึกความเข้าใจฯ ให้ตรงกับภารกิจของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งสำนักพลังงานปรมาณู กระทรวงศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ได้เห็นด้วยต่อร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับปรับปรุงดังกล่าวแล้ว
4. สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติพิจารณาแล้วเห็นว่า บันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่โดยที่ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนา และใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อความมุ่งประสงค์ในทางสันติ บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่น่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญญฯ ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน นอกจากนี้ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติสามารถปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจฯ ได้ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับที่มีอยู่ คือ พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 และฉบับแก้ไขปรับปรุง พ.ศ. 2508 โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการจัดทำหนังสือสัญญาในลักษณะนี้ยังไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอน และวิธีการจัดทำหนังสือ จึงเห็นควรให้ปฏิบัติตามแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2550 คือต้องนำหนังสือสัญญาดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการ
5. กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. ได้ให้ความเห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้มีสาระสำคัญเพื่อแสดงเจตนาของภาคีที่จะร่วมมือกันพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานนิวเคลียร์ และให้ความช่วยเหลือตลอดจนความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์แก่กันและกัน จึงไม่น่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สามารถปฏิบัติได้ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับโดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา ร่างบันทึกความเข้าใจฯ นี้ก็ไม่น่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 7 กันยายน 2553--จบ--