ควบคุม ดูแลผู้ประกอบวิชาชีพ เพื่อประโยชน์แก่มวลสมาชิกและประโยชน์สาธารณะหรือ
ประชาชนเป็นสำคัญ และองค์กรอื่นตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนด
(๕) องค์กรภาคอื่น ๆ หมายความถึง องค์กรอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ตาม (๑) (๒)
(๓) และ (๔) ที่รวมกันเปน็ สมาคม สมาพันธ์ สหภาพ สหกรณ์ มูลนิธิ หรือสถาบัน เพื่อประโยชน์
แก่องค์กรที่เป็นสมาชิกหรือประโยชน์สาธารณะหรือประชาชน และองค์กรอื่นตามที่คณะกรรมการ
สรรหากำหนด
องค์กรตามวรรคสอง (๓) และ (๕) ต้องได้รับการจัดตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
และดำเนินกิจกรรม รวมทั้งมีผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่จัดตั้งองค์กรอย่างต่อเนื่อง
นับแต่จัดตั้งองค์กร
ให้คณะกรรมการสรรหามีอำนาจกำหนดคุณสมบัติที่จำเป็นเฉพาะขององค์กรตาม
วรรคสองเพื่อให้มีความชัดเจนในการใช้สิทธิขององค์กรในการลงทะเบียน เพื่อเสนอรายชื่อ
บุคคลเข้ารับการเสนอรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้โดยถูกต้อง โดยคำนึงถึง
ลักษณะขององค์กรที่มีการดำเนินการในขณะที่จะมีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
มาตรา ๑๒๕ องค์กรตามมาตรา ๑๒๔ ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเป็นองค์กร
ภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ เพื่อมีสิทธิเสนอรายชื่อบุคคล
เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ให้ยื่นคำขอลงทะเบียน พร้อมหลักฐานตามที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งมอบหมาย ภายในระยะเวลาและสถานที่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๑๒๖ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือบุคคลหรือคณะบุคคล
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย ตรวจสอบคุณสมบัติองค์กรที่ยื่นคำขอลงทะเบียนเป็น
องค์กรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ และประกาศรายชื่อองค์กร
เป็นรายภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จภายในห้าวัน
นับแต่วันที่กำหนดให้มีการลงทะเบียนแล้วเสร็จตามมาตรา ๑๒๓ วรรคสอง
มาตรา ๑๒๗ องค์กรใดที่ยื่นลงทะเบียนตามมาตรา ๑๒๕ แต่ไม่ปรากฏชื่อ
ในประกาศตามมาตรา ๑๒๖ ให้มีสิทธิยื่นคำร้องการประกาศรายชื่อองค์กรต่อศาลฎีกาภายใน
สามวันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อองค์กร และให้นำความในมาตรา ๔๐ วรรคสองและ
วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒๘ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือบุคคลหรือคณะบุคคล
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายจัดประชุมผู้แทนองค์กรที่ได้รับการประกาศรายชื่อ
ตามมาตรา ๑๒๖ แต่ละภาค เพื่อเสนอบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันที่ประกาศรายชื่อองค์กร พร้อมด้วยหลักฐานตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
โดยมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
(๑) ให้แต่ละองค์กรมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลที่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกองค์กรหรือ
ปฏิบัติหน้าที่ในองค์กร และสมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาองค์กรละหนึ่งคน โดยต้อง
มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งไม่มีชื่อบุคคลซ้ำกับ
องค์กรอื่นที่เสนอชื่อ และต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ได้รับการเสนอชื่อด้วย และให้ผู้ที่ได้รับการ
เสนอชื่อชำระค่าธรรมเนียมคนละหนึ่งหมื่นบาทโดยให้ค่าธรรมเนียมนั้นตกเป็นรายได้ของรัฐ
ทั้งนี้ บุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรแล้วจะขอถอนชื่อออกจากการได้รับการเสนอชื่อ
เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภามิได้
(๒) ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อตาม (๑) ของแต่ละภาค มีจำนวนไม่เกินสามเท่า
ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๓๐
(๓) ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อตาม (๑) ของแต่ละภาค มีจำนวนเกินกว่า
สามเท่าของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้แต่ละภาคดำเนินการคัดเลือก
กันเองโดยวิธีการลงคะแนนโดยตรงและลับเพื่อให้เหลือจำนวนผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเท่ากับ
จำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค
ในการลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองตาม (๓) ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อมีสิทธิ
ลงคะแนนเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ไม่เกินสามคน ในการนี้ให้คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนดวิธีการนำเสนอข้อมูลของผู้ได้รับการสรรหาในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่
การลงคะแนนเลือกผู้สมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อขององค์กรตาม (๓) ได้รับคะแนนเท่ากันอันเป็นเหตุ
ให้มีผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อของภาคนั้นเกินจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ย
ต่อห้าภาค ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อที่มีคะแนนเท่ากันจับสลากเพื่อให้ได้จำนวนผู้ที่จะได้รับการเสนอ
ชื่อของภาคเท่ากับจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ตามวิธีการ
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
ให้นำความในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ รวมทั้งบทกำหนดโทษในการฝ่าฝืน
มาตรา ๕๓ หรือมาตรา ๕๔ มาใช้บังคับกับการดำเนินการของผู้ใดตามมาตรานี้ด้วย
มาตรา ๑๒๙ การพิจารณาเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ของแต่ละองค์กรต้องเป็นไปตามระเบียบ วิธีการ หรือข้อบังคับขององค์กรนั้น
มาตรา ๑๓๐ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะ
ต้องห้ามของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้
ในรัฐธรรมนูญ ถ้าเห็นว่าถูกต้องให้ประกาศรายชื่อผู้ได้การเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิก
วุฒิสภา พร้อมทั้งแจ้งรายชื่อให้คณะกรรมการสรรหาให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับ
การแจ้งรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากองค์กร
กรณีที่บุคคลใดได้รับการเสนอชื่อมากกว่าหนึ่งองค์กร ห้ามมิให้ประกาศรายชื่อ
บุคคลนั้นในประกาศตามวรรคหนึ่ง และให้นำความในมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ เฉพาะการยื่น
คำร้องต่อศาลฎีกาและการพิจารณาของศาลฎีกา มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓๑ ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาสรรหาบุคคลตามหลักเกณฑ์
ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
รับรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง และผลการพิจารณา
สรรหาของคณะกรรมการสรรหาให้ถือเป็นที่สุด
ในการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการสรรหากำหนด
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาและแจ้งผลการสรรหาไปยัง
รัฐสภาเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓๒ ในกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๓๑ ว่างลงนอกจากการสิ้นสุด
สมาชิกภาพเพราะเหตุครบวาระ ให้นำความในมาตรา ๑๒๕ มาตรา ๑๒๖ และมาตรา ๑๒๗ มาใช้
บังคับโดยอนุโลม โดยให้แต่ละภาคซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภาว่างลงเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อรับการสรรหา
เป็นจำนวนสามเท่าของตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่ว่างลง
มาตรา ๑๓๓ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
เพื่อกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติ
ในส่วนนี้
ค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสรรหา และค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินการของผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการสรรหา ใหเป็นไปตามที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๑๓๔ ภายหลังมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาแล้ว ผู้ได้รับการ
เสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือองค์กรที่ได้รับการลงทะเบียนเป็นองค์กรที่มี
สิทธิเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภามิได้เป็นไป
โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิก
วุฒิสภา หรือองค์กรที่ได้รับการลงทะเบียนเป็นองค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็น
สมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสามสิบวัน นับแต่วันประกาศ
ผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
เมื่อปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ผู้ใดได้กระทำ
การใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับการสรรหา หรือได้รับการสรรหาโดยผลของการที่บุคคล
ใดได้กระทำการลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้
คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน
ในกรณีที่มีการร้องคัดค้านการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ก่อนการประกาศ
ผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้นำความในหมวด ๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนที่ ๑๑ การคัดค้านการเลือกตั้ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓๕ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนตามมาตรา ๑๓๔
วรรคสอง แล้วเห็นว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้
ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัย ดังต่อไปนี้โดยพลัน
(๑) ถ้าเห็นว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนใดหรือขั้นตอนใดมิได้เป็นไป
โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาในส่วน
หรือขั้นตอนนั้นใหม่ และให้ผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในส่วนนั้นหรือขั้นตอนนั้น
พ้นจากสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำสั่ง
(๒) ถ้าเห็นว่าผู้ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการอันเป็น
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือมีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าก่อให้ผู้อื่นกระทำ
สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นกระทำการดังกล่าว หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วไม่
ดำเนินการเพื่อระงับการกระทำนั้น และการกระทำดังกล่าวมีผลให้การสรรหามิได้เป็นไปโดยสุจริต
และเที่ยงธรรม ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นเป็นเวลาหนึ่งปีโดยให้มีผลนับแต่วันที่
ศาลฎีกามีคำสั่ง
มาตรา ๑๓๖ ในกรณีที่ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๓๕ ถ้าเห็นว่าผู้ใด
กระทำการโดยไม่สุจริตทำให้การสรรหาไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ผู้อื่นได้รับ
การสรรหาโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ศาลฎีกามีคำสั่ง
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น และสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการสรรหาจากการกระทำดังกล่าวด้วย
เว้นแต่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำนั้น
หมวด ๓
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๑๓๗ ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยว หรือ
ไม่ให้ความสะดวกพอสมควรต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้าง
แล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๓๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือ
ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๓๙ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรได้สมัครรับเลือกตั้งหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งหรือสมัคร
รับเลือกตั้งโดยฝ่าฝืนมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๘ วรรคสอง ได้สมัครรับเลือกตั้ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และ
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๐ มาตรา ๕๓ มาตรา ๕๔ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๗๑ หรือมาตรา ๘๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
ในกรณีมีการฝ่าฝืนมาตรา ๕๓ และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้กระทำ
การฝ่าฝืน ให้ศาลสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับไม่เกินกึ่งหนึ่งจากจำนวนเงินค่าปรับแก่ผู้แจ้งความนำจับ
มาตรา ๑๔๑ ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำ
การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท และใหศ้ ลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าป
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งหรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการ เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และ
ปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ
การเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึง
สองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดยี่สิบปี
ถ้าการกระทำตามวรรคสองหรือวรรคสามเป็นการกระทำหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำ
สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจของหัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง
ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐตามกฎหมายประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
มาตรา ๑๔๒ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือ
ปรับเป็นจำนวนสามเท่าของจำนวนเงินที่เกินกว่าจำนวนเงินที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศ
กำหนด แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
มีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๔๓ สมุห์บัญชีเลือกตั้งผู้ใดจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง
ของผู้สมัครคนใดไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตาม
มาตรา ๕๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลาห้าปี
มาตรา ๑๔๔ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ยื่นรายการค่าใช้จ่ายต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือยื่นหลักฐานไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๕๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่ง
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
ถ้ารายการค่าใช้จ่ายที่ยื่นตามมาตรา ๕๒ เป็นเท็จ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรค
การเมืองต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๔๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี
ถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๔๖ ผู้ซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๗ ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๑๔๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๙ มาตรา ๖๑ หรือฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการ
การเลือกตั้งตามมาตรา ๑๐๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๑๐๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๔๘ ผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใด ๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหาย
หรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
ห้าปี
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๔๙ ในระหว่างเวลาเปิดการลงคะแนนเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการ
ลงคะแนนเลือกตั้ง ถ้ากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเปิดเผยให้แก่ผู้ใดทราบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ผู้ใดมาลงคะแนนหรือยังไม่มาลงคะแนนเพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕๐ ผู้ใดเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
เกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้งในระหว่างเวลาเจ็ดวันก่อนวันเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการลงคะแนน
เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๗๙ ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๕๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๖๗ มาตรา ๗๒ วรรคสอง มาตรา ๗๓ มาตรา ๗๔
มาตรา ๗๕ หรือมาตรา ๗๖ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
ในกรณีที่ผู้ฝ่าฝืนตามวรรคหนึ่งเป็นผู้รับหรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใด ถ้าได้แจ้งถึงการกระทำดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายก่อนหรือในวันเลือกตั้งผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา ๑๕๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑๑ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกระทำการใดให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับ
ตามมาตรา ๑๑๑ (๒) โดยมิใช่เป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือตามกฎหมาย ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕๔ ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิด ในเขตเลือกตั้ง
ในระหว่างเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับกับวันลงคะแนนตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕
และมาตรา ๙๖ ด้วย
มาตรา ๑๕๕ ผู้ใดเล่นหรือจัดให้มีการเล่นการพนันขันต่อใด ๆ เกี่ยวกับ
ผลของการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๕๖ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดฐานกระทำความผิดตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และผู้นั้นเป็นผู้กระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต
และเที่ยงธรรม หรือเป็นผู้กระทำการใดอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๖ วรรคสอง อันเป็นเหตุให้ต้องมีการ
เลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งใด ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้
ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วย ทั้งนี้ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับยกเว้น
ค่าฤชาธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในกรณีที่มีผู้รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่หลายคน ให้ทุกคน
รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม
มาตรา ๑๕๗ ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองกระทำความผิดตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งใดให้ถือว่าผู้สมัคร หรือ
พรรคการเมืองซึ่งส่งสมาชิกของตนลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น เป็นผู้เสียหายตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร และการกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน
ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าตัวการ
ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น ได้กระทำในราชอาณาจักร
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๑๕๙ ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีประชุม
คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๒๓ เพื่อสรรหาสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
มีผลใช้บังคับ
มาตรา ๑๖๐ บุคคลใดถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้ยังคงถือว่าถูกเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
.............................................
.............................................
ประชาชนเป็นสำคัญ และองค์กรอื่นตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนด
(๕) องค์กรภาคอื่น ๆ หมายความถึง องค์กรอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ตาม (๑) (๒)
(๓) และ (๔) ที่รวมกันเปน็ สมาคม สมาพันธ์ สหภาพ สหกรณ์ มูลนิธิ หรือสถาบัน เพื่อประโยชน์
แก่องค์กรที่เป็นสมาชิกหรือประโยชน์สาธารณะหรือประชาชน และองค์กรอื่นตามที่คณะกรรมการ
สรรหากำหนด
องค์กรตามวรรคสอง (๓) และ (๕) ต้องได้รับการจัดตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
และดำเนินกิจกรรม รวมทั้งมีผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่จัดตั้งองค์กรอย่างต่อเนื่อง
นับแต่จัดตั้งองค์กร
ให้คณะกรรมการสรรหามีอำนาจกำหนดคุณสมบัติที่จำเป็นเฉพาะขององค์กรตาม
วรรคสองเพื่อให้มีความชัดเจนในการใช้สิทธิขององค์กรในการลงทะเบียน เพื่อเสนอรายชื่อ
บุคคลเข้ารับการเสนอรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้โดยถูกต้อง โดยคำนึงถึง
ลักษณะขององค์กรที่มีการดำเนินการในขณะที่จะมีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
มาตรา ๑๒๕ องค์กรตามมาตรา ๑๒๔ ที่ประสงค์จะลงทะเบียนเป็นองค์กร
ภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ เพื่อมีสิทธิเสนอรายชื่อบุคคล
เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ให้ยื่นคำขอลงทะเบียน พร้อมหลักฐานตามที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือบุคคลหรือคณะบุคคลที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งมอบหมาย ภายในระยะเวลาและสถานที่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๑๒๖ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือบุคคลหรือคณะบุคคล
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย ตรวจสอบคุณสมบัติองค์กรที่ยื่นคำขอลงทะเบียนเป็น
องค์กรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ และประกาศรายชื่อองค์กร
เป็นรายภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จภายในห้าวัน
นับแต่วันที่กำหนดให้มีการลงทะเบียนแล้วเสร็จตามมาตรา ๑๒๓ วรรคสอง
มาตรา ๑๒๗ องค์กรใดที่ยื่นลงทะเบียนตามมาตรา ๑๒๕ แต่ไม่ปรากฏชื่อ
ในประกาศตามมาตรา ๑๒๖ ให้มีสิทธิยื่นคำร้องการประกาศรายชื่อองค์กรต่อศาลฎีกาภายใน
สามวันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อองค์กร และให้นำความในมาตรา ๔๐ วรรคสองและ
วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒๘ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือบุคคลหรือคณะบุคคล
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายจัดประชุมผู้แทนองค์กรที่ได้รับการประกาศรายชื่อ
ตามมาตรา ๑๒๖ แต่ละภาค เพื่อเสนอบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาภายในเจ็ดวัน
นับแต่วันที่ประกาศรายชื่อองค์กร พร้อมด้วยหลักฐานตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
โดยมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้
(๑) ให้แต่ละองค์กรมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลที่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกองค์กรหรือ
ปฏิบัติหน้าที่ในองค์กร และสมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาองค์กรละหนึ่งคน โดยต้อง
มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งไม่มีชื่อบุคคลซ้ำกับ
องค์กรอื่นที่เสนอชื่อ และต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ได้รับการเสนอชื่อด้วย และให้ผู้ที่ได้รับการ
เสนอชื่อชำระค่าธรรมเนียมคนละหนึ่งหมื่นบาทโดยให้ค่าธรรมเนียมนั้นตกเป็นรายได้ของรัฐ
ทั้งนี้ บุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรแล้วจะขอถอนชื่อออกจากการได้รับการเสนอชื่อ
เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภามิได้
(๒) ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อตาม (๑) ของแต่ละภาค มีจำนวนไม่เกินสามเท่า
ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๓๐
(๓) ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อตาม (๑) ของแต่ละภาค มีจำนวนเกินกว่า
สามเท่าของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ให้แต่ละภาคดำเนินการคัดเลือก
กันเองโดยวิธีการลงคะแนนโดยตรงและลับเพื่อให้เหลือจำนวนผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเท่ากับ
จำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค
ในการลงคะแนนเพื่อเลือกกันเองตาม (๓) ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อมีสิทธิ
ลงคะแนนเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ไม่เกินสามคน ในการนี้ให้คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนดวิธีการนำเสนอข้อมูลของผู้ได้รับการสรรหาในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่
การลงคะแนนเลือกผู้สมควรได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ในกรณีที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อขององค์กรตาม (๓) ได้รับคะแนนเท่ากันอันเป็นเหตุ
ให้มีผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อของภาคนั้นเกินจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ย
ต่อห้าภาค ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อที่มีคะแนนเท่ากันจับสลากเพื่อให้ได้จำนวนผู้ที่จะได้รับการเสนอ
ชื่อของภาคเท่ากับจำนวนสามเท่าของสมาชิกวุฒิสภาที่พึงสรรหาเฉลี่ยต่อห้าภาค ตามวิธีการ
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
ให้นำความในมาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ รวมทั้งบทกำหนดโทษในการฝ่าฝืน
มาตรา ๕๓ หรือมาตรา ๕๔ มาใช้บังคับกับการดำเนินการของผู้ใดตามมาตรานี้ด้วย
มาตรา ๑๒๙ การพิจารณาเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ของแต่ละองค์กรต้องเป็นไปตามระเบียบ วิธีการ หรือข้อบังคับขององค์กรนั้น
มาตรา ๑๓๐ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะ
ต้องห้ามของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้
ในรัฐธรรมนูญ ถ้าเห็นว่าถูกต้องให้ประกาศรายชื่อผู้ได้การเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิก
วุฒิสภา พร้อมทั้งแจ้งรายชื่อให้คณะกรรมการสรรหาให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับ
การแจ้งรายชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากองค์กร
กรณีที่บุคคลใดได้รับการเสนอชื่อมากกว่าหนึ่งองค์กร ห้ามมิให้ประกาศรายชื่อ
บุคคลนั้นในประกาศตามวรรคหนึ่ง และให้นำความในมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ เฉพาะการยื่น
คำร้องต่อศาลฎีกาและการพิจารณาของศาลฎีกา มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓๑ ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาสรรหาบุคคลตามหลักเกณฑ์
ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
รับรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง และผลการพิจารณา
สรรหาของคณะกรรมการสรรหาให้ถือเป็นที่สุด
ในการพิจารณาสรรหาของคณะกรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการสรรหากำหนด
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาและแจ้งผลการสรรหาไปยัง
รัฐสภาเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๓๒ ในกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๓๑ ว่างลงนอกจากการสิ้นสุด
สมาชิกภาพเพราะเหตุครบวาระ ให้นำความในมาตรา ๑๒๕ มาตรา ๑๒๖ และมาตรา ๑๒๗ มาใช้
บังคับโดยอนุโลม โดยให้แต่ละภาคซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภาว่างลงเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อรับการสรรหา
เป็นจำนวนสามเท่าของตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่ว่างลง
มาตรา ๑๓๓ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
เพื่อกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติ
ในส่วนนี้
ค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสรรหา และค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินการของผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการสรรหา ใหเป็นไปตามที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนด
มาตรา ๑๓๔ ภายหลังมีการประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาแล้ว ผู้ได้รับการ
เสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือองค์กรที่ได้รับการลงทะเบียนเป็นองค์กรที่มี
สิทธิเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า การสรรหาสมาชิกวุฒิสภามิได้เป็นไป
โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิก
วุฒิสภา หรือองค์กรที่ได้รับการลงทะเบียนเป็นองค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็น
สมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องคัดค้านต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในสามสิบวัน นับแต่วันประกาศ
ผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
เมื่อปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ผู้ใดได้กระทำ
การใด ๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับการสรรหา หรือได้รับการสรรหาโดยผลของการที่บุคคล
ใดได้กระทำการลงไปโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้
คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน
ในกรณีที่มีการร้องคัดค้านการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ก่อนการประกาศ
ผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ให้นำความในหมวด ๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนที่ ๑๑ การคัดค้านการเลือกตั้ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓๕ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนสอบสวนตามมาตรา ๑๓๔
วรรคสอง แล้วเห็นว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้
ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัย ดังต่อไปนี้โดยพลัน
(๑) ถ้าเห็นว่าการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในส่วนใดหรือขั้นตอนใดมิได้เป็นไป
โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาในส่วน
หรือขั้นตอนนั้นใหม่ และให้ผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในส่วนนั้นหรือขั้นตอนนั้น
พ้นจากสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำสั่ง
(๒) ถ้าเห็นว่าผู้ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้ใดกระทำการอันเป็น
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือมีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าก่อให้ผู้อื่นกระทำ
สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นกระทำการดังกล่าว หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วไม่
ดำเนินการเพื่อระงับการกระทำนั้น และการกระทำดังกล่าวมีผลให้การสรรหามิได้เป็นไปโดยสุจริต
และเที่ยงธรรม ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นเป็นเวลาหนึ่งปีโดยให้มีผลนับแต่วันที่
ศาลฎีกามีคำสั่ง
มาตรา ๑๓๖ ในกรณีที่ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๑๓๕ ถ้าเห็นว่าผู้ใด
กระทำการโดยไม่สุจริตทำให้การสรรหาไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ผู้อื่นได้รับ
การสรรหาโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ศาลฎีกามีคำสั่ง
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น และสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการสรรหาจากการกระทำดังกล่าวด้วย
เว้นแต่สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำนั้น
หมวด ๓
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๑๓๗ ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยว หรือ
ไม่ให้ความสะดวกพอสมควรต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้าง
แล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๓๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือ
ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๓๙ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรได้สมัครรับเลือกตั้งหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งหรือสมัคร
รับเลือกตั้งโดยฝ่าฝืนมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๘ วรรคสอง ได้สมัครรับเลือกตั้ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และ
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๐ มาตรา ๕๓ มาตรา ๕๔ มาตรา ๕๘ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๗๑ หรือมาตรา ๘๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
ในกรณีมีการฝ่าฝืนมาตรา ๕๓ และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้กระทำ
การฝ่าฝืน ให้ศาลสั่งจ่ายเงินสินบนนำจับไม่เกินกึ่งหนึ่งจากจำนวนเงินค่าปรับแก่ผู้แจ้งความนำจับ
มาตรา ๑๔๑ ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำ
การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท และใหศ้ ลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าป
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งหรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการ เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และ
ปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ
การเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึง
สองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดยี่สิบปี
ถ้าการกระทำตามวรรคสองหรือวรรคสามเป็นการกระทำหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำ
สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจของหัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง
ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐตามกฎหมายประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
มาตรา ๑๔๒ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือ
ปรับเป็นจำนวนสามเท่าของจำนวนเงินที่เกินกว่าจำนวนเงินที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศ
กำหนด แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
มีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๔๓ สมุห์บัญชีเลือกตั้งผู้ใดจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้ง
ของผู้สมัครคนใดไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตาม
มาตรา ๕๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลาห้าปี
มาตรา ๑๔๔ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ยื่นรายการค่าใช้จ่ายต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือยื่นหลักฐานไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๕๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่ง
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
ถ้ารายการค่าใช้จ่ายที่ยื่นตามมาตรา ๕๒ เป็นเท็จ ผู้สมัครหรือหัวหน้าพรรค
การเมืองต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๔๕ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี
ถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๔๖ ผู้ซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๗ ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๑๔๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๙ มาตรา ๖๑ หรือฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการ
การเลือกตั้งตามมาตรา ๑๐๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๑๐๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๔๘ ผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใด ๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหาย
หรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
ห้าปี
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๔๙ ในระหว่างเวลาเปิดการลงคะแนนเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการ
ลงคะแนนเลือกตั้ง ถ้ากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเปิดเผยให้แก่ผู้ใดทราบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ผู้ใดมาลงคะแนนหรือยังไม่มาลงคะแนนเพื่อเป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕๐ ผู้ใดเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
เกี่ยวกับการลงคะแนนเลือกตั้งในระหว่างเวลาเจ็ดวันก่อนวันเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการลงคะแนน
เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๗๙ ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งมีกำหนดสิบปี
มาตรา ๑๕๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๖๗ มาตรา ๗๒ วรรคสอง มาตรา ๗๓ มาตรา ๗๔
มาตรา ๗๕ หรือมาตรา ๗๖ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
ในกรณีที่ผู้ฝ่าฝืนตามวรรคหนึ่งเป็นผู้รับหรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใด ถ้าได้แจ้งถึงการกระทำดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายก่อนหรือในวันเลือกตั้งผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
มาตรา ๑๕๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑๑ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกระทำการใดให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับ
ตามมาตรา ๑๑๑ (๒) โดยมิใช่เป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือตามกฎหมาย ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕๔ ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิด ในเขตเลือกตั้ง
ในระหว่างเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับกับวันลงคะแนนตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕
และมาตรา ๙๖ ด้วย
มาตรา ๑๕๕ ผู้ใดเล่นหรือจัดให้มีการเล่นการพนันขันต่อใด ๆ เกี่ยวกับ
ผลของการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดห้าปี
มาตรา ๑๕๖ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดฐานกระทำความผิดตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และผู้นั้นเป็นผู้กระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต
และเที่ยงธรรม หรือเป็นผู้กระทำการใดอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๖ วรรคสอง อันเป็นเหตุให้ต้องมีการ
เลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งใด ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้
ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วย ทั้งนี้ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับยกเว้น
ค่าฤชาธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในกรณีที่มีผู้รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่หลายคน ให้ทุกคน
รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม
มาตรา ๑๕๗ ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองกระทำความผิดตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งใดให้ถือว่าผู้สมัคร หรือ
พรรคการเมืองซึ่งส่งสมาชิกของตนลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น เป็นผู้เสียหายตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร และการกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน
ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าตัวการ
ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น ได้กระทำในราชอาณาจักร
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๑๕๙ ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีประชุม
คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๒๓ เพื่อสรรหาสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
มีผลใช้บังคับ
มาตรา ๑๖๐ บุคคลใดถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้ยังคงถือว่าถูกเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
.............................................
.............................................