"ไม้พญาคชราช" ไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังมาแรงในกลุ่มเกษตรกรผู้ค้าและลงทุนกล้า ไม้ คือ ต้นพญาคชราช หรือ ต้นปอหู คุณสมบัติของไม้ปอหู พบว่า เนื้อไม้จัดอยู่ในชั้นไม้คุณภาพปาน กลางหรือเกรดบี ความหนาแน่นปานกลางคือประมาณ 630 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มีความทนทานตามธรรมชาติเฉลี่ยน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งจัดอยู่ในไม้ที่มีความทนทานต่ำ ถูกเชื้อราและปลวกเข้าทำลายได้ง่าย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการป้องกันรักษาเนื้อไม้ ด้านคุณสมบัติการใช้งาน การเลื่อย การไส การกลึง และการขัดเงา ทำได้ง่าย เมื่อเทียบกับไม้ยางพาราที่อายุ 25 ปี
ขณะนี้มีไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังมาแรงในกลุ่มเกษตรกรผู้ค้าและลงทุนกล้า ไม้ คือ
ต้นพญาคชราช หรือ ต้นปอหู โดยเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ณ อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) มีการแถลงข่าว เรื่อง “ไม้พญาคชราช คือไม้อะไร มีคุณสมบัติอย่างไร เหมาะกับการปลูกเป็นไม้เศรษฐกิจหรือไม่” ซึ่ง รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มอบให้คณะวนศาสตร์ดำเนินการวิเคราะห์และตรวจสอบเนื้อไม้พญาคชราชในเชิง ฟิสิกส์ และทางกลสมบัติพร้อมทั้งเผยแพร่ข้อเท็จจริงนี้สู่สาธารณชนเพื่อให้ได้ทราบ ข้อมูลเชิงลึกของต้นพญาคชราช และช่วยให้เกษตรกรที่จะลงทุนปลูกได้เข้าใจถึงคุณสมบัติและการค้าขายเป็นไม้ เศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในการปลูกไม้ชนิดนี้
รศ.ทรงกลด จารุสมบัติ หัวหน้าภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ กล่าวว่า ต้นพญาคชราช ที่เป็นที่สนใจอยู่ในปัจจุบัน ทางภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ ได้ส่งตัวอย่างทางพฤกษศาสตร์ให้หอพรรณไม้ กรมป่าไม้ ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นไม้ปอหู มีชื่อพื้นเมืองคือ ปอหู (สระบุรี, นครราชสีมา), ปอจง (ปัตตานี, มาเลเซีย) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Talipariti macrophyllum (Roxb. Ex Hornem.) Fryxell อยู่ในวงศ์ Malvaceae
จากการนำลำต้นไม้ปอหูอายุ 25 ปีมาวิเคราะห์คุณสมบัติของไม้ คุณสมบัติของไม้ปอหู พบว่า เนื้อไม้จัดอยู่ในชั้นไม้คุณภาพปาน กลางหรือเกรดบี ความหนาแน่นปานกลางคือประมาณ 630 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มีความทนทานตามธรรมชาติเฉลี่ยน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งจัดอยู่ในไม้ที่มีความทนทานต่ำ ถูกเชื้อราและปลวกเข้าทำลายได้ง่าย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการป้องกันรักษาเนื้อไม้ ด้านคุณสมบัติการใช้งาน การเลื่อย การไส การกลึง และการขัดเงา ทำได้ง่าย เมื่อเทียบกับไม้ยางพาราที่อายุ 25 ปี จะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน แต่ในปัจจุบันเพิ่งเริ่มมีการปลูกแบบลักษณะสวนป่าทำให้ด้านการตลาดไม้ยังไม่ ชัดเจน
ผศ.ดร.ดำรง พิพัฒนวัฒนากุล อาจารย์ ประจำภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ กล่าวว่า ในกระบวนการทดแทนทางธรรมชาติของพื้นที่หนึ่ง ๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พื้นที่นั้นก็จะมีพืชต่าง ๆ ตั้งแต่มอส ไลเคนเรื่อยมาเป็นหญ้าคาและเรื่อยมาจนถึงระดับที่มีไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด อย่างที่เห็นเป็นป่าธรรมชาติในปัจจุบัน จากการทดแทนของพืชพรรณในระบบนิเวศ ปอหู จัดเป็นไม้เบิกนำที่เข้ามาเป็นกลุ่มแรก ๆ ของไม้ยืนต้น หากพิจารณาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของไม้ปอหู เป็นไม้ที่มีเมล็ดเล็ก เบาปลิวลอยลมได้ เมล็ดมีความสามารถในการงอกดี ใบใหญ่ต้องการแสงมาก สังเคราะห์แสงได้ปริมาณมาก ส่งผลให้การเจริญเติบโตเร็ว เปลาตรง
ประเด็นการปลูกป่าเศรษฐกิจ จะพิจารณาความคุ้มทุนในการปลูกเชิงเดี่ยว โดยคิดประมาณการการลงทุนปลูกในพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ปานกลาง ด้วยระยะปลูก 3 x 3 เมตร ต่อไร่ ต้องใช้กล้าไม้ 179 ต้น ราคากล้าไม้ต้นละ 39 บาท ประมาณการรายจ่ายในกิจกรรมเตรียมพื้นที่ ขุดหลุมปลูก ปลูกซ่อม การดูแลรักษาใส่ปุ๋ยกำจัดวัชพืช ตั้งแต่ปีแรกไปจนถึงปีที่ 25 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 7.5% คิดเป็นเงินลงทุนเพื่อการปลูกประมาณ 20,000 บาท เมื่อไม้ครบรอบตัดฟันปีที่ 25 ประมาณการให้มีต้นไม้เหลืออยู่ในแปลง 89 ต้น (50% ของไม้ที่เริ่มปลูก) แต่ละต้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 30 ซม. ขายได้ราคาต้นละ 1,200 บาท คิดเป็นรายรับทั้งสิ้น 107,400 บาท ประมาณการรายจ่ายเป็นค่าดำเนินการธุรกิจปลูกป่า (20% ของค่าปลูก) คิดเป็นเงิน 4,018 บาท ค่าดำเนินการตัดไม้และค่าขนส่งผลผลิตสู่โรงงาน 10,000 บาท โดยรวมแล้วคิดเป็นกำไรต่อไร่เป็นเงิน 73,291 บาทในเวลา 25 ปี เฉลี่ยปีละ 2,931 บาท คิดว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนไม่คุ้มทุน เพราะระหว่างเวลาปีที่ 1-25 ไม่สามารถได้รายรับกลับคืนมา หากเปรียบเทียบกับยางพารายังสามารถได้รายรับจากการขายน้ำยาง
ประเด็นการปลูกป่าอนุรักษ์ ในหลักวิชาการแล้วควรจะปลูกไม้หลากหลายชนิดคละกันไป โดยเลือกไม้ท้องถิ่นของประเภทป่านั้น ๆ ซึ่งจะเลือกชนิดไม้ปลูกเลียนแบบไม้ในการทดแทนทางธรรมชาติ หรือจะเลือกเจาะปลูกไม้ชนิดนั้น ๆ ให้เหมาะสมกับระบบนิเวศท้องถิ่น เพื่อสร้างความหลากหลายของชนิดไม้และส่งผลถึงการเป็นอยู่ของสัตว์ในระบบ นิเวศ การปลูกปอหู ที่เป็นไม้เบิกนำก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเป็นไม้เบิกนำ ใบใหญ่ สามารถเป็นไม้ พี่เลี้ยงที่ให้ร่มเงากับลูกไม้ชนิดที่ไม่ต้องการแสงมาก แต่การลงทุนด้วยราคากล้าไม้กล้าละ 39 บาท เป็นราคากล้าไม้ที่แพงเกินจริง หากเปรียบเทียบกับกล้าไม้ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาด ราคาจะอยู่ที่ 3-5 บาท สำหรับไม้ยูคาลิปตัส 10-15 บาท สำหรับยางพารา และ 5-10 บาท สำหรับไม้สัก
โดยสรุปแล้วการปลูกไม้ปอหูหากพิจารณาความคุ้มทุนแล้ว ไม่คุ้มทุนในการปลูกป่าเชิงเศรษฐกิจเนื่องจากราคากล้าไม้ที่มีราคาแพง และยังมีความเสี่ยง.
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--