นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ คปภ. เผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้จัดประชุมร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย สมาคมประกันชีวิตไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประชุมหารือร่วมกันเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัย ด้านการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และประชาชนผู้เอาประกันภัยในศักยภาพของธุรกิจประกันภัย
กรณีมีความจำเป็นผู้ประกอบการสามารถทำความสะอาด ซ่อมแซมเครื่องจักร หรือจัดซื้ออะไหล่ โดยประสานบริษัทประกันภัยโดยตรงเพื่อแจ้งขออนุมัติวงเงินดังกล่าว และเก็บใบเสร็จไว้เป็นหลักฐานเพื่อประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อไป
กรณีที่สามารถกำหนดจำนวนเงินความเสียหายได้แล้ว บริษัทประกันภัยจะพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนเบื้องต้น ร้อยละ 10 ของจำนวนเงินความเสียหายทั้งหมดให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายเบื้องต้นให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนสามารถดำเนินการต่อไปได้ในระยะแรก
เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยแก่นิคมอุตสาหกรรม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับเป็นศูนย์กลางรวบรวมประเด็นปัญหาของสมาชิกผู้ประกอบการ โดยสมาคมประกันวินาศภัยจะจัดตั้งคณะทำงานย่อยขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะออกเยี่ยมเยียนผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยจะเริ่มที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคก่อน
เลขาธิการ คปภ.กล่าวต่อไปว่า ความเสียหายจากอุทกภัยในครั้งนี้สูงกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ในเบื้องต้น ด้วยความร่วมมือกันของทุกฝ่าย มาตรการเร่งรัดการชำระค่าสินไหมทดแทนตามเป้าหมายร้อยละ 75 ใน 6เดือน ก็มีพัฒนาการขึ้นมาเป็นลำดับ สำหรับการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย ในปีหน้ามีแนวโน้มที่เบี้ยประกันภัยจะสูงขึ้นตามสภาพความเสี่ยงภัยที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการเสนอส่วนลดเบี้ยประกันภัยในกรณีที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงภัยที่ดีได้มาตรฐาน โดยสำนักงาน คปภ.และสมาคมประกันวินาศภัยจะร่วมกันให้คำปรึกษา แนะนำและความชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการป้องกันความเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับภาคครัวเรือน และธุรกิจ SME ขณะนี้ภาครัฐได้อนุมัติในหลักการสำหรับงบประมาณ 50,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดตั้งโครงสร้างการประกันมหันตภัยของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบรับประกันภัยต่อ อีกทั้งเพื่อให้สาธารณะชนสามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากภัยธรรมชาติในอัตราเบี้ยประกันที่ต่ำลง ยังคงมีขั้นตอนการดำเนินการอีกหลายประการ อันจะแจ้งให้ทราบต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
โทร. 02-513-1680
ที่มา: http://www.oic.or.th