นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์รถบัส ยี่ห้ออีซูซุ ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน 35621 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาภาคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ ถูกรถเทเลอร์บรรทุกน้ำมัน 18 ล้อ หมายเลขทะเบียน 70-0540 เพชรบูรณ์ ซึ่งขับลงเขาด้วยความเร็วแหกโค้งชนกับรถบัส เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2556 ณ บริเวณ สวนป่าแม่ทรายคำ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 4 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 20 ราย นั้น
สำนักงาน คปภ. ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประสานงานให้ความช่วยเหลือแล้ว และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ารถบรรทุกน้ำมัน ทะเบียน 70-0540 เพชรบูรณ์ ได้ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท ส่งเสริมประกันภัย จำกัด และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 3 ) ไว้กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด และรถบัสอีซูซุ ทะเบียน 35621 ได้ทำประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับบริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด ซึ่งผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้
1. ผู้โดยสารที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร ทายาทสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ ดังนี้
1.1 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) รายละ 200,000 บาท และ
1.2 ความคุ้มครองจากประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 3) ขั้นต่ำไม่น้อยกว่ารายละ 300,000 บาท ในกรณีที่มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย และขั้นต่ำไม่น้อยกว่ารายละ 100,000 หากไม่มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย
2. ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ ดังนี้
2.1 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) จะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ต่อคน และค่าชดเชยรายวัน สำหรับผู้ประสบภัยที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลวันละ 200 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 วัน และ
2.2 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคสมัครใจ จะได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ จึงได้เร่งประสานกับบริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด บริษัท ส่งเสริมประกันภัย จำกัด และบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับผู้เสียชีวิต และประสานกับโรงพยาบาลศูนย์ลำปางที่รับรักษาผู้บาดเจ็บ เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องค่ารักษาพยาบาลแล้ว อย่างไรก็ตามขอฝากเตือนผู้ใช้รถควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง และตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบวันหมดอายุของการทำประกันภัยทั้งภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และภาคสมัครใจที่มีอยู่ก่อนออกเดินทาง เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ความคุ้มครองจากการทำประกันภัยจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นได้
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186 หรือ www.oic.or.th
ที่มา: http://www.oic.or.th