โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันชีวิต จำนวน 390,474 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 18.72 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในธุรกิจประกันชีวิตซึ่งมีการพัฒนาช่องทางการขายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการประกันภัยได้อย่างทั่วถึง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนองความต้องการของประชาชนได้เป็นอย่างดี ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาออมเงินสำหรับวัยเกษียณ ผ่านการประกันชีวิต โดยให้สิทธิประโยชน์ ต่างๆ เช่น การให้สิทธิผู้ซื้อประกันชีวิตสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ โดยการประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด คือ การประกันชีวิตประเภทสามัญ จำนวน 329,665 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 17.90 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปี 2555 ธุรกิจประกันชีวิตเน้นการขายผลิตภัณฑ์แบบตลอดชีพ ซึ่งเน้น ความคุ้มครองหลังเกษียณอายุ สะท้อนได้จากกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึง ร้อยละ 48.34 ของจำนวนกรมธรรม์ประเภทสามัญ รองลงมาการประกันชีวิตประเภทกลุ่ม จำนวน 47,184 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 31.53 และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 5,333 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.62 และ จากธุรกิจประกันวินาศภัย จำนวนรวมทั้งสิ้น 179,429 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 27.96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการประกันภัยรถมีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด จำนวน 103,874 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.77 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 162.7 ในช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก เดือนธันวาคม 2555 ซึ่งประชาชนต่างทยอยใช้สิทธิกันอย่างต่อเนื่อง รองลงมาการประกันภัยเบ็ดเตล็ด จำนวน 60,606 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 36.83 และการประกันอัคคีภัย จำนวน 9,759 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 21.04
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า ปี 2555 ถือเป็นบททดสอบที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจประกันภัยไทยมีความแข็งแกร่ง สามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากปัจจัยรอบด้านได้อย่างมั่นคง พลิกฟื้นจากสถานการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 ได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง สะท้อนได้จากตัวเลขธุรกิจประกันภัยในปี 2555 มีอัตราการเจริญเติบโตถึงร้อยละ 21.48 ทั้งนี้ ในปี 2556 สำนักงาน คปภ. คาดว่าธุรกิจประกันภัยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่สูงในปี 2555 และจากการสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันการรับรถของทางการตามมาตรการคืนเงินภาษีรถคันแรก โดยคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับจำนวน 6.60 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณร้อยละ 16 แบ่งเป็นธุรกิจประกันชีวิต เบี้ยประกันภัยจำนวน 4.49 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณร้อยละ 18 และธุรกิจประกันวินาศภัย เบี้ยประกันภัยจำนวน 2.11 แสนล้านบาท อัตราเติบโตประมาณร้อยละ 15 และมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.38
ที่มา: http://www.oic.or.th