สำนักงาน คปภ. ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน คปภ. ในพื้นที่รับผิดชอบในเบื้องต้น ทราบว่ารถตู้โดยสาร หมายเลขทะเบียน 10-1128 จันทบุรี มีประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กับบริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน) และรถบรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน 92-7070 กรุงเทพมหานคร มีประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) หากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผู้ขับขี่รถตู้แต่เพียงฝ่ายเดียวผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้
1. ผู้โดยสารที่ประสบภัยเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร ทายาทสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ดังนี้
1.1 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 200,000 บาทต่อคน และ
1.2 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กรณีไม่มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน หรือกรณีมีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300,000 บาทต่อคน และความคุ้มครองการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) อีก 100,000 บาทต่อคน
2. ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ได้ดังนี้
2.1 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน และค่าชดเชยรายวัน สำหรับผู้ประสบภัยที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล วันละ 200 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 วัน และ
2.2 ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย และความคุ้มครองจากการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน
รองเลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า สำนักงาน คปภ. ได้ประสานบริษัทประกันภัย ให้เร่งดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้เสียชีวิต และประสานโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้บาดเจ็บเพื่ออำนวยความสะดวกด้านค่ารักษาพยาบาล และขอฝากเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนขับรถด้วยความไม่ประมาท และตรวจสอบวันหมดอายุการประกันภัยรถด้วย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุในขณะที่กรมธรรม์หมดอายุท่านจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ทำให้ท่านต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นไว้เอง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186
ที่มา: http://www.oic.or.th