โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันชีวิต จำนวน 31,602 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 21.53 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการที่ธุรกิจประกันชีวิตมีการแข่งขันกันออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสนองต่อความต้องการของประชาชน ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่ได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ หลากหลายช่องทาง เพื่อให้ประชาชนวงกว้างมีความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการประกันชีวิตมากขึ้น โดยเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด คือ การประกันชีวิตประเภทสามัญ จำนวน 24,560 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 16.39 รองลงมาการประกันชีวิตประเภทกลุ่ม จำนวน 5,916 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งร้อยละ 55.29 และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 437 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 13.54 และจากธุรกิจประกันวินาศภัย จำนวนรวมทั้งสิ้น 17,256 ล้านบาท ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 29.20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการประกันภัยรถมีเบี้ยประกันภัยรับสูงสุด จำนวน 9,994 ล้านบาท ขยายตัวถึงร้อยละ 30.83 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นเบี้ยประกันภัยรถภาคสมัครใจ จำนวน 8,727 ล้านบาท และเป็นเบี้ยประกันภัยรถภาคบังคับ จำนวน 1,267 ล้านบาท สอดคล้องกับการขยายตัวของการขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขยายตัวร้อยละ 108.6 ในเดือนมกราคม 2556 รองลงมาการประกันภัยเบ็ดเตล็ด จำนวน 5,702 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.29 และการประกันอัคคีภัย จำนวน 1,134 ล้านบาท ขยายตัวอย่างโดดเด่นที่ร้อยละ 67.13 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนเห็นความสำคัญของการทำประกันอัคคีภัยกันมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนซึ่งมักเกิดอัคคีภัยขึ้นบ่อยครั้ง
รองเลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่าในช่วงต้นปี 2556 อุตสาหกรรมประกันภัยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าจะมีฐานการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างสูงจากปี 2555 แต่ทั้งธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจประกันวินาศภัยก็สามารถเติบโตได้ในอัตราที่น่าพอใจ ทั้งนี้ เป็นผลจากมาตรการส่งเสริมต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายคืนภาษีรถคันแรกซึ่งขณะนี้ค่ายรถยนต์ได้เริ่มทยอยส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าในปีนี้แล้ว ประกอบกับการปรับตัวของภาคธุรกิจประกันภัยที่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และความต้องการของประชาชนมากขึ้น
ที่มา: http://www.oic.or.th