เลขาธิการคปภ.กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่เป็นปัญหาใหญ่ของประกันภัยในประเทศไทย คือ ปัญหาความเชื่อมั่นจากสาธารณชน ซึ่งอาจเป็นเพราะประชาชนมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากประกันภัยตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บริษัทประกันภัยล้มทำให้เกิดความเสียหาย ประเด็นการหลอกลวงให้ทำประกัน ประเด็นการเคลมค่าสินไหมทดแทนยากหรือมีการใช้ช่องทางจากความไม่รู้ของประชาชนเพื่อประวิง ไม่จ่าย หรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนน้อยกว่าความเป็นจริง ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจของประชาชนต่อระบบประกันภัยของไทยลดลง ดังนั้นหากจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้จึงต้องมองจากมุมมองของประชาชน ซึ่งจะมีความรู้สึกเหมือนกันว่า เวลาทำประกันภัยจะมีการชักจูงว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ ขั้นตอนการทำประกันมีความสะดวกรวดเร็วเป็นอย่างมาก แต่เมื่อซื้อประกันไปแล้ว เมื่อมีเหตุต้องเคลมหรือขอค่าสินไหมทดแทนกลับทำได้ยาก มีการโต้แย้งเรื่องกฎหมายและบ่อยครั้งจบลงด้วยการฟ้องร้องเป็นคดีในชั้นศาล นี่คือสาเหตุใหญ่ที่ประชาชนขาดความมั่นใจในระบบประกันภัยของไทย
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการต่างๆเหมือนยาขนานแรงเพื่อรักษาเยียวยาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนมา การที่บริษัทประกันชีวิตหลายบริษัทมีกิจกรรมที่ดีๆให้กับสังคมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในลักษณะกิจกรรม CSR ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับบริษัทประกันภัยนั้น ลำพังกิจกรรม CSR อาจไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ภาคสังคมได้ชัดเจนและยั่งยืน จึงจำเป็นต้องลงลึกไปกว่าการทำ CSR ไปสู่การทำ CSV หรือCreating Shared Value ซึ่งเป็นการสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชน โดยมีการพิสูจน์แล้วว่า CSV จะสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ดี
“การทำ CSR เปรียบเหมือนการซื้อเบ็ดตกปลาไปให้ชาวบ้าน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการและสภาพความเป็นจริงในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน ดังนั้นการทำ CSR จึงไม่เพียงพอต่อสังคมหรือชุมชนนั้นๆ ดังนั้นภาคธุรกิจจึงต้องตอยอดด้วยการทำ CSV ซึ่งเปรียบเหมือนการสอนให้ชาวบ้านรู้จักวิธีใช้เบ็ดตกปลาเพื่อสร้างคุณค่าร่วมทางเศรษฐกิจ”
ดร.สุทธิพล กล่าวอีกว่า คปภ.มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและสามารถก้าวข้ามผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจประกันภัยด้วยการขับเคลื่อนภารกิจ “8 สร้าง” คือ สร้างสมดุลกำกับ-ดูแล-ส่งเสริม ที่มุ่งเน้นการกำกับเท่าที่จำเป็นและควบคู่กับการส่งเสริมธุรกิจประกันภัย เนื่องจากเป้าหมายสำคัญ คือ ธุรกิจประกันชีวิตต้องเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยตั้งอยู่บนกติกาที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ สร้างเสถียรภาพความมั่นคง โดยเร่งพัฒนากรอบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงระยะที่ 2 และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลพฤติกรรมทางตลาดมากขึ้น สร้างบทบาทของประกันภัยในระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพิ่มขึ้นโดยจะสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ๆให้มีความหลากหลาย คำนึงถึงประชาชนทุกกลุ่ม ให้ความสำคัญกับการประกันภัยเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ การประกันภัยพืชผลทางการเกษตร กลุ่มเอสเอ็มอี และประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) สร้างความรู้ประชาชนและเพิ่มความเชื่อมั่นโดยไม่เพียงแต่พัฒนาให้บริษัทประกันภัยเติบโตเท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถรักษาสิทธิของตนเองและปกป้องตนเองจากมิจฉาชีพที่มากับการประกันภัย ซึ่งจำเป็นต้องเร่งพัฒนาช่องทางการสื่อสารต่างๆให้เข้าถึงได้ง่าย พร้อมกับการพัฒนากระบวนการรับเรื่องร้องเรียน การระงับข้อพิพาททางเลือกด้วยวิธีไกล่เกลี่ยและอนุญาโตตุลาการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยเพื่อรองรับข้อพิพาทที่อาจจะมีมากขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจประกันภัย
สร้างศักยภาพในเวทีสากลและอาเซียน เพื่อรองรับการขยายตลาดการประกันภัยของไทยให้พร้อมแข่งขันใน AEC ซึ่งจะต้องมีการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับธุรกิจประกันภัยของประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประกันภัยและพัฒนาบุคลากรร่วมกัน นอกจากนี้จะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของประเทศอื่นๆเพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีอุปสรรคน้อยที่สุด เนื่องจากกฎระเบียบในแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกัน หากไม่บูรณาการให้ใกล้เคียงหรือไม่ทำให้มีกติกากลางก็จะเป็นอุปสรรค ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างกลไกและปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการประกันภัยใน CLMV อย่างมีศักยภาพและผลักดันให้เป็น “อาเซียน ซิงเกิลอินชัวรันส์มาร์เก็ต”
รวมทั้ง สร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัยให้เป็นมาตรฐานสากลรองรับทิศทางในอนาคต โดยผลักดันการปรับปรุงกฎหมายด้านการประกันภัยทั้ง 3 ฉบับ เพื่อให้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจประกันภัย สร้างความเท่าเทียมกับผู้ประกอบการทุกกลุ่มพร้อมกับผลักดันกฎหมายประกันภัยทางทะเล รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลด้านการประกันภัยที่สมบูรณ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านการประกันภัยและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม สร้างศักยภาพและพัฒนาบุคคลากรประกันภัย รวมถึงคนกลางประกันภัย ให้มีความเชี่ยวชาญเป็นมืออาชีพ มีจรรยาบรรณ โปร่งใส สามารถรองรับการพัฒนาและเติบโตของธุรกิจประกันภัยในอนาคต และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างเสริมศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งในส่วนของสำนักงานคปภ.และภาคธุรกิจประกันชีวิต โดยคปภ.จะเร่งปรับปรุงและพัฒนากฎหมายเพื่อลดข้อจำกัดต่างๆให้ภาคธุรกิจประกันภัยสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเข้าถึงลูกค้า ในขณะเดียวกันบทบาทในด้านกำกับดูแลประกันภัยมีระบบงานที่ดีสามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าและให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส และเปิดเผยข้อมูลอย่างเหมาะสม ในส่วนของภาคธุรกิจประกันภัยต้องมีการลงทุนในระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัยสำหรับลูกค้าเพื่อยกระดับประสิทธิภาพกรดำเนินธุรกิจและมีต้นทุนที่ต่ำลงในระยะยาว พร้อมทั้งมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีอีกด้วย “ผมมั่นใจว่านับจากนี้ไปธุรกิจประกันชีวิตจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในขณะเดียวกันก็เป็นหลักประกันความมั่งคงแก่ชีวิตให้กับประชาชน ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจประกันชีวิตให้ก้าวสู่ความแข็งแกร่ง มีคุณภาพ เสถียรภาพ และมีธรรมาภิบาล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นสำคัญเพื่อให้ธุรกิจประกันชีวิตเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างยั่งยืนตอไป” ดร.สุทธิพล กล่าวในตอนท้าย
ที่มา: http://www.oic.or.th