เบื้องต้นได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. ภาค 4 จังหวัดอุดรธานี พบว่ารถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บจ 8350 สมุทรสาคร ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กับ บมจ. สินมั่นคงประกันภัย และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กับ บมจ. วิริยะประกันภัย ส่วนรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บค 7358 บึงกาฬ ทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) กับ บมจ. วิริยะประกันภัย กรณีดังกล่าวผู้ประสบอุบัติเหตุจะได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันภัย ดังนี้
1. การประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมทดแทน รายละ 200,000 บาท ยกเว้นผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายทำละเมิดจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาท 2. การประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมทดแทน กรณีไม่มีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อคน หรือ กรณีมีผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300,000 บาทต่อคน และจากการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) รถคันหมายเลขทะเบียน บจ 8350 สมุทรสาคร ให้ความคุ้มครองผู้ขับขี่ 200,000 บาท และผู้โดยสาร 2 คนๆ ละ 200,000 บาท สำหรับรถคันหมายเลขทะเบียน บค 7358 บึงกาฬ ให้ความคุ้มครองผู้ขับขี่ 200,000 บาท และผู้โดยสาร 2 คนๆ ละ 200,000 บาท รวม 400,000 บาท แต่รถคันดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 5 ราย จึงต้องเฉลี่ยความคุ้มครองเท่ากัน รายละ 80,000 บาท
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมว่า สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และได้เร่งประสานบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้เสียชีวิตด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่ารถยนต์ทั้ง 2 คัน มีการทำประกันภัยรถยนต์ทั้งภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการประกันภัยรถภาคสมัครใจ ทำให้ระบบประกันภัยสามารถช่วยแบ่งเบาภาระความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด สำนักงาน คปภ. จึงขอย้ำเตือนเจ้าของรถตรวจสอบวันหมดอายุกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันภัยตลอดเวลา และหากต้องการความคุ้มครองเพิ่มขึ้นสามารถซื้อประกันภัยรถภาคสมัครใจเพิ่มเติมได้
ที่มา: http://www.oic.or.th