ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถพ่วง 18 ล้อบรรทุกดินลูกรัง ส่วนหัวหมายเลขทะเบียน 84-1708 สระบุรี และส่วนพ่วงหมายเลขทะเบียน 84-1709 สระบุรี เกิดเหตุเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า รถบรรทุก 6 ล้อของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หมายเลขทะเบียน 83-0584 ปทุมธานี และโกดังสินค้าของร้านวัสดุก่อสร้างเลขที่ 677 บริเวณริมถนนพหลโยธินขาเข้า กม. 86 ใกล้แยกทางเข้าตลาดหนองแค เทศบาลเมืองหนองแค จังหวัดสระบุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 5 ราย และได้รับรับบาดเจ็บ 3 ราย นั้น
ทั้งนี้จากการติดตามและประสานงานอย่างใกล้ชิดของ สำนักงาน คปภ. ส่วนกลาง และสำนักงาน คปภ. จังหวัดสระบุรี พบว่ารถพ่วงคันที่เกิดเหตุส่วนหัวทะเบียน 84-1708 สระบุรี ได้มีการทำประกันภัยไว้กับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คือ ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เลขที่ 03037-59203/กธ/6891506 เริ่มคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2559 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2560 และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) เลขที่ 0305660203/กธ/001636-10 เริ่มคุ้มครองวันที่ 23 ธันวาคม 2559 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 23 ธันวาคม 2560 และส่วนพ่วงทะเบียน 84-1709 สระบุรี ได้มีการทำประกันภัยไว้กับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คือ ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เลขที่ 03037-59203/กธ/6891504 เริ่มคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2559 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2560 และประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) เลขที่ 0305660203/กธ/045422-10 เริ่มคุ้มครองวันที่ 23 ธันวาคม 2559 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 23 ธันวาคม 2560 ซึ่งในเบื้องต้น สำนักงาน คปภ. ได้ประสานกับบริษัทผู้รับประกันภัยรถพ่วงคันดังกล่าวแล้ว โดยผู้ประสบอุบัติเหตุจะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ การประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ทั้งจากส่วนหัวและส่วนพ่วง ซึ่งทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมทดแทน รายละ 600,000 บาท ยกเว้นผู้ขับขี่หากเป็นฝ่ายทำละเมิดจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 70,000 บาท และผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 160,000 บาทต่อคน รวมทั้งค่าชดเชยรายวัน สำหรับการพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลวันละ 400 บาท รวมกันไม่เกิน 20 วัน
สำหรับการประกันภัยรถภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ทั้งจากส่วนหัวและส่วนพ่วง ทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิตจะได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 600,000 บาทต่อคน และจากการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ให้ความคุ้มครอง ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร คนละ 50,000 บาท สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 600,000 บาทต่อคน ในขณะที่โกดังร้านวัสดุก่อสร้างที่ได้รับเสียหายจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ เจ้าของจะได้รับค่าชดเชยตามมูลค่าความเสียหายจริงแต่ไม่เกิน 800,000 บาท
ทั้งนี้จากการที่สำนักงาน คปภ.ได้ประสานงานเบื้องต้นกับบริษัทผู้รับประกันภัยเกี่ยวกับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยของผู้โดยสารกรณีเสียชีวิตทุกคนจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ จะได้รับค่าสินไหมทดแทนรายละ 1,200,000 บาท ยกเว้นคนขับรถพ่วงซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ทำละเมิดจะได้รับเพียงค่าเสียหายเบื้องต้นตาม
พ.ร.บ. และความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้ายอุบัติเหตุส่วนบุคคลจากประกันภัยรถภาคสมัครใจ พร้อมกันนี้ยังได้สั่งการให้สำนักงาน คปภ. จังหวัดสระบุรี และสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของสำนักงาน คปภ. ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าผู้บาดเจ็บได้มีการทำประกันชีวิต และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้หากพบว่ามีการทำประกันภัยไว้ สำนักงาน คปภ. จะประสานงานให้บริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บต่อไป
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเสริมด้วยว่า การเกิดอุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ถึงแม้ว่าจะมีความระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนนี้อาจมีฝนตกหนักทำให้ถนนลื่น จึงมักเกิดอุบัติเหตุจากรถขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นประชาชนจึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของการทำประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย และฝากเตือนผู้ประกอบการเดินรถขนส่งสินค้าทุกประเภทควรทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนดและหมั่นตรวจสอบวันหมดอายุกรมธรรม์ด้วยเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงและครบวงจร ซึ่งสำนักงาน คปภ.ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ และจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยและประสานงานด้านค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องประกันภัยสามารถติดต่อมาที่ สายด่วน คปภ. 1186
ที่มา: http://www.oic.or.th