นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่าจากการที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 5) มาตรา 7 กำหนดให้ “รถที่เจ้าของรถได้ทำประกันภัยที่มีความคุ้มครองครอบคลุมความเสียหายต่อผู้ประสบภัย และทรัพย์สินแล้ว ไม่ต้องทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยอีก” โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2551 ขณะนี้นายทะเบียนได้อนุมัติให้บริษัทประกันภัยสามารถจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยที่เรียกว่า “กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์รวมความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (Combine Policy)” เพื่อรองรับกฎหมายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ในขณะนี้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มีทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ
1 กรมธรรม์ประกันภัยรถตาม พ.ร.บ. แบบเดิม
2 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 2 3 และกรมธรรม์ฯแบบคุ้มครองเฉพาะภัยที่ไม่รวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และ
3 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 2 3 และกรมธรรม์ฯแบบคุ้มครองเฉพาะภัยที่รวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
ผู้เอาประกันภัยที่ทำประกันภัยรถยนต์ต้องตรวจสอบการทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยทุกครั้งเพื่อความมั่นใจว่า กรมธรรม์ที่ทำนั้นมีความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถตาม พ.ร.บ.ซึ่งกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องทำประกันภัย อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบได้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่ทำนั้นมีประกันภัยรถตาม พ.ร.บ. หรือไม่ โดยกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจที่ไม่มีความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจะมีข้อความ “ไม่รวม พ.ร.บ.” ไว้ที่หน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยทุกกรมธรรม์
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า Combine Policy ยังคงมีหลักการปฏิบัติตามกรมธรรม์ประกันภัยภายใต้เงื่อนไขเดิมไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป การประกันภัยรถยนต์ทุกรูปแบบจะเริ่มใช้เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยใหม่ ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจต่อไป โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186 และสำนักงาน คปภ.จังหวัด ทุกแห่ง
ที่มา: http://www.oic.or.th