นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้มีความห่วงใยและตระหนักถึงความจำเป็นและความสำคัญของที่อยู่อาศัยหากเกิดความเสียหายจากภัยต่าง ๆ และเพื่อเป็นการดูแลสิทธิประโยชน์ของประชาชนจากการทำประกันภัย จึงได้ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย และกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยแบบประหยัด ซึ่งให้ความคุ้มครอง ไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยจากยวดยานพาหนะ และภัยจากอากาศยานโดยขยายความคุ้มครองเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 1 ความคุ้มครอง คือ ค่าเช่าสำหรับที่พักอาศัยชั่วคราว หากเกิดไฟไหม้ขึ้นและทำให้อาคารสิ่งปลูกสร้างเกิดความเสียหายมากกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าสร้างใหม่ บริษัทประกันภัยจะชดใช้ ดังนี้
- สิ่งปลูกสร้างชั้น 1 (อาคารเป็นคอนกรีต) ไม่เกินวันละ 1,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 50,000 บาทตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย
- สิ่งปลูกสร้างชั้น 2 (อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้) และสิ่งปลูกสร้าง ชั้น 3 (อาคารไม้ทั้งหลัง) ไม่เกินวันละ 500 บาท รวมแล้วไม่เกิน 25,000 บาท
- สิ่งปลูกสร้างชั้น 1 ไม่เกินวันละ 1,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท
- สิ่งปลูกสร้างชั้น 2 และสิ่งปลูกสร้างชั้น 3 ไม่เกินวันละ 500 บาท รวมแล้วไม่เกิน 50,000 บาท
สำหรับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยได้มีการปรับลดอัตราเบี้ยประกันภัยลงอีก 10 % ทำให้ประชาชนจ่ายเบี้ยประกันภัยลดลงจากเดิม ตัวอย่างเช่น บ้าน (สิ่งปลูกสร้างชั้น 1) ราคา 1,000,000 บาท ปัจจุบันจ่ายเบี้ยประกันภัย 900 บาท เมื่อปรับลดอัตราเบี้ยประกันภัยลงแล้วผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเพียง 810 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่อาศัยทั่วประเทศให้ได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าโดยจ่ายเบี้ยประกันภัยไม่มากนัก และมีโอกาสเข้าถึงการประกันภัยมากขึ้น แต่สำหรับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยแบบประหยัดนั้นยังคงคิดเบี้ยประกันภัย 600 บาทต่อกรมธรรม์ เนื่องจากกำหนดไว้เป็นกรณีพิเศษแล้ว
นางจันทราฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนให้เจ้าของบ้านอยู่อาศัยทั่วประเทศได้ทำประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น โดยผู้ที่ยังไม่ได้ทำประกันภัย หรือผู้เอาประกันภัยที่มีกรมธรรม์ประกันภัยใกล้จะหมดอายุ ให้รีบจัดทำประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป ซึ่งท่านจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมดังกล่าวข้างต้น หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2547-4550 หรือ สายด่วนประกันภัย 1186
ที่มา: http://www.oic.or.th