ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนตกงานในเขตกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 12-13
พฤษภาคม 2545 จำนวน 958 คน พบว่าพนักงานเอกชนตกงานมากที่สุด โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากบริษัทเลิกจ้างหรือปิดกิจการ หากแต่คนเหล่านี้ยัง
ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการจุนเจือจากครอบครัว แต่อย่างไรก็ตามผู้ตกงานเหล่านี้ก็ยังคงมีความหวังที่จะได้งานแม้ว่าจะเป็นงานที่ต่ำกว่าวุฒิก็ตาม สำหรับ
สิ่งที่ผู้ตกงานต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุด คือ การหางานให้ทำ
- ผู้ตกงานร้อยละ 41 ระบุว่าก่อนตกงานเคยประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างเอกชน อีกร้อยละ 20 บอกว่าเคยทำงานส่วนตัวแล้วไม่ประสบผล
สำเร็จ ส่วนอีกร้อยละ 14 เป็นนักศึกษาเพิ่งจบใหม่
- หากถามถึงสิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดเมื่อรู้ว่าตกงาน ร้อยละ 39 ระบุว่าเป็นห่วงครอบครัว รองมาร้อยละ 26 เป็นห่วงบิดา/มารดา และ
ร้อยละ 16 เป็นห่วงเรื่องการศึกษาของบุตร สำหรับผู้ตกงานที่ยังเป็นโสดมีถึงร้อยละ 50 ที่ห่วงบิดา/มารดามากที่สุด
- สำหรับแห่งแรกที่ผู้ตกงานถึงร้อยละ 64 หวังพึ่งเรื่องเงิน คือ ญาติพี่น้อง มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่จะไปพึ่งโรงจำนำ
- ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่ใช้ในครอบครัวในช่วงตกงาน ผู้ตกงานร้อยละ 34 ได้มาจากพ่อแม่ ร้อยละ 25 ได้มาจากเงินออมของตนเอง
และอีกร้อยละ 18 ได้มากจากคู่สมรส สำหรับผู้ตกงานที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้มาจากเงินออมของตนเอง
- บุคคลที่ให้ความช่วยเหลือเป็นส่วนใหญ่ขณะที่ตกงาน คือ บิดา/มารดา รองมาร้อยละ 27 เป็นญาติพี่น้อง และร้อยละ 20 เป็นคู่สมรส
สำหรับผู้ตกงานโดยทั่วไปที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ส่วนใหญ่ขอความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากบิดา/มารดา
- เมื่อถามผู้ตกงานว่าหากมีงานที่ต่ำกว่าความรู้ความสามารถจะทำหรือไม่ มีผู้ตกงานถึงร้อยละ 56 บอกว่าทำแน่นอน ร้อยละ 31
บอกว่าไม่แน่ใจ และอีกร้อยละ 14 ที่ระบุว่าไม่ทำ
- กิจกรรมที่ผู้ตกงานทำให้เพื่อคลายเครียดมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ หางานอดิเรกทำ (ร้อยละ 32) กลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด
(ร้อยละ 18) และช่วยงานบ้าน (ร้อยละ 17)
- สิ่งที่ผู้ตกงานร้อยละ 31 ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุด คือต้องการให้รัฐบาลหางานให้ทำ รองลงมาร้อยละ 16 ต้อง
การข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงาน และอีกร้อยละ 13 ต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องเงิน
--ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์--
-พห-
พฤษภาคม 2545 จำนวน 958 คน พบว่าพนักงานเอกชนตกงานมากที่สุด โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากบริษัทเลิกจ้างหรือปิดกิจการ หากแต่คนเหล่านี้ยัง
ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการจุนเจือจากครอบครัว แต่อย่างไรก็ตามผู้ตกงานเหล่านี้ก็ยังคงมีความหวังที่จะได้งานแม้ว่าจะเป็นงานที่ต่ำกว่าวุฒิก็ตาม สำหรับ
สิ่งที่ผู้ตกงานต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุด คือ การหางานให้ทำ
- ผู้ตกงานร้อยละ 41 ระบุว่าก่อนตกงานเคยประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างเอกชน อีกร้อยละ 20 บอกว่าเคยทำงานส่วนตัวแล้วไม่ประสบผล
สำเร็จ ส่วนอีกร้อยละ 14 เป็นนักศึกษาเพิ่งจบใหม่
- หากถามถึงสิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดเมื่อรู้ว่าตกงาน ร้อยละ 39 ระบุว่าเป็นห่วงครอบครัว รองมาร้อยละ 26 เป็นห่วงบิดา/มารดา และ
ร้อยละ 16 เป็นห่วงเรื่องการศึกษาของบุตร สำหรับผู้ตกงานที่ยังเป็นโสดมีถึงร้อยละ 50 ที่ห่วงบิดา/มารดามากที่สุด
- สำหรับแห่งแรกที่ผู้ตกงานถึงร้อยละ 64 หวังพึ่งเรื่องเงิน คือ ญาติพี่น้อง มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่จะไปพึ่งโรงจำนำ
- ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่ใช้ในครอบครัวในช่วงตกงาน ผู้ตกงานร้อยละ 34 ได้มาจากพ่อแม่ ร้อยละ 25 ได้มาจากเงินออมของตนเอง
และอีกร้อยละ 18 ได้มากจากคู่สมรส สำหรับผู้ตกงานที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้มาจากเงินออมของตนเอง
- บุคคลที่ให้ความช่วยเหลือเป็นส่วนใหญ่ขณะที่ตกงาน คือ บิดา/มารดา รองมาร้อยละ 27 เป็นญาติพี่น้อง และร้อยละ 20 เป็นคู่สมรส
สำหรับผู้ตกงานโดยทั่วไปที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ส่วนใหญ่ขอความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากบิดา/มารดา
- เมื่อถามผู้ตกงานว่าหากมีงานที่ต่ำกว่าความรู้ความสามารถจะทำหรือไม่ มีผู้ตกงานถึงร้อยละ 56 บอกว่าทำแน่นอน ร้อยละ 31
บอกว่าไม่แน่ใจ และอีกร้อยละ 14 ที่ระบุว่าไม่ทำ
- กิจกรรมที่ผู้ตกงานทำให้เพื่อคลายเครียดมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ หางานอดิเรกทำ (ร้อยละ 32) กลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด
(ร้อยละ 18) และช่วยงานบ้าน (ร้อยละ 17)
- สิ่งที่ผู้ตกงานร้อยละ 31 ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุด คือต้องการให้รัฐบาลหางานให้ทำ รองลงมาร้อยละ 16 ต้อง
การข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงาน และอีกร้อยละ 13 ต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องเงิน
--ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์--
-พห-