อาเซียน..ความหวังการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 24, 2014 16:40 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

มูลค่าส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2557 ที่หดตัว 1% สร้างความผิดหวังให้กับหลายฝ่ายที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า มูลค่าส่งออกทั้งปี 2557 น่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% ตามเศรษฐกิจตลาดหลักที่มีแนวโน้มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม กลับพบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา แม้การส่งออกไปตลาดหลักทั้งสหรัฐยุโรป และญี่ปุนจะฟื้นตัวตามที่หลายฝายคาดไว้ แต่การส่งออกไปตลาดอาเซียนซึ่งเคยเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออกของไทยตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลก ในปี 2552 กลับหดตัวลงอย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่า มูลค่าส่งออกไปตลาดอาเซียนที่หดตัวมากคือ ตลาดอินโดนีเซียและสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่าส่งออกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 32% ของมูลค่าส่งออกของไทยไปอาเซียนทั้งหมด ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสำคัญอย่างมากที่กดดันให้การส่งออกโดยรวมหดตัว เห็นได้จากตัวเลข Contributions to Export Growth* ซึ่งแสดงถึงแหล่งที่มาของการขยายตัวของมูลค่าส่งออกโดยรวมพบว่า มูลค่าส่งออกไปอินโดนีเซียและสิงคโปร์ มีผลบั่นทอนมูลค่าส่งออกโดยรวมลงถึง -2.2%

ทั้งนี้ มูลค่าส่งออกไปอินโดนีเซียที่หดตัวมากเป็น ผลสืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลอินโดนีเซียใช้มาตรการทางการเงินและการค้าที่เข้มงวดขึ้น เพื่อชะลอการไหลออกของเงินทุน ลดแรงกดดันด้านเงินเฟอ และลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินรูเปียะห์อ่อนค่าอย่างมากตลอดปี 2556 ปัจจัยดังกล่าวทำให้กำลังซื้อและเศรษฐกิจของอินโดนีเซียชะลอลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การส่งออกของไทยไปอินโดนีเซีย ยังถูกกดดันจากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทยไปอินโดนีเซียที่หดตัวจาก การย้ายฐานการผลิตของหลายค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเข้าไปในอินโดนีเซียมากขึ้น เพื่อชิงความได้เปรียบจากตลาดขนาดใหญ่ ทำให้อินโดนีเซียเริ่มชะลอการนำเข้ารถยนต์และส่วนประกอบบางชนิดจากไทย

ในส่วนของมูลค่าส่งออกไปตลาดสิงคโปร์ที่ชะลอลงนั้น ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เปราะบางและอุปสงค์ที่ชะลอลงเหมือนกรณีของอินโดนีเซีย แต่เป็นเพราะข้อจำกัดของไทยในการผลิตน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ไปตลาดสิงคโปร์ (19% ของมูลค่าส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปรวม) เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันของไทยหลายแห่งเป็นระยะตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงกลางปี 2557 ซึ่งถือเป็นปจจัยกดดันระยะสั้น ทำให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตออกมาเป็นการตอบสนองความต้องการในประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้เหลืออุปทานส่วนเกินเพื่อส่งออกลดลง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบั่นทอนข้างต้นน่าจะค่อยๆ คลี่คลายลง เนื่องจากเงินรูเปียะห์ที่ชะลอการอ่อนค่าและ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง จะทำให้กำลังซื้อของผู้นำเข้าอินโดนีเซียค่อยๆ เพิ่มขึ้น ประกอบกับหากโรงกลั่นน้ำมันของไทยกลับมาผลิตได้เต็มกำลังในช่วงครึ่งปีหลังก็จะช่วยให้การส่งออกไปสิงคโปร์และประเทศอาเซียนเดิมอื่นๆ ฟื้นตัว ขณะที่การส่งออกไปตลาด CLMV ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการค้าชายแดนที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกของไทยไปอาเซียนน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวและกลับมาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการส่งออกได้ ในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปยังมีปัจจัยบั่นทอนบางประการที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีการขายของญี่ปุ่นจาก 5% เป็น 8% ตั้งแต่เดือนเมษายนที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะถัดไป เช่นเดียวกับการส่งออกไปจีนที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอความร้อนแรงจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและภาคการเงิน รวมทั้งปัญหาหนี้ที่เกิดจากสถาบันการเงินนอกระบบ (Shadow Bank) ที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวถือเป็นความท้าทายสำหรับการส่งออกในปี 2557 ว่าจะกลับมาขยายตัวได้มากน้อยเพียงใด

Disclaimer : คอลัมน์นี้เผยแพร่เพื่อให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจต่างประเทศ รวมถึงภาวะธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ