Share โลกเศรษฐกิจ: Blockchain ปฏิวัติระบบการเงินโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 30, 2016 14:52 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ากระแส FinTech ที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ลดทอนความสำคัญของระบบธนาคาร อาทิ การระดมทุนจากสาธารณชนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน (Crowdfunding) และการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลต่อบุคคลโดยตรงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (P2P Lending) ซึ่งสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นแก่ผู้บริโภคเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันต่อสถาบันการเงินในฐานะคู่แข่งที่ต้องจับตามอง ส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งต้องปรับตัวและหันมาใช้กลยุทธ์สร้างพันธมิตรกับธุรกิจ FinTech เพื่อลดการแข่งขันโดยตรงกับธุรกิจ FinTech ทั้งนี้ ท่ามกลางการปรับตัวของสถาบันการเงินภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว มีเทคโนโลยีทางการเงินอีกประเภทหนึ่งที่อาจช่วยให้สถาบันการเงินสามารถพลิกวิกฤตเป็นทางรอดในยุคดิจิทัล นั่นคือ “Blockchain” ซึ่งจุดประกายให้สถาบันการเงินหันมาตื่นตัว โดยเฉพาะภายหลังธนาคารขนาดใหญ่ของโลก อาทิ Santander (สหราชอาณาจักร) UBS AG (สวิตเซอร์แลนด์) UniCredit (อิตาลี) Bank of Tokyo Mitsubishi (ญี่ปุ่น) และ DBS Bank (สิงคโปร์) ประกาศว่าจะนำ Blockchain มาใช้ในระบบการโอนเงิน

Blockchain คืออะไร?

Blockchain เป็นเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ ซึ่งช่วยให้สมาชิกที่อยู่ในระบบ (Platform) เดียวกันสามารถทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันได้โดยตรง อาทิ การโอนเงินไปยังสมาชิกอีกรายผ่าน Platform โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางดังเช่นการทำธุรกรรมทางการเงินในแบบปัจจุบันซึ่งมักผ่านสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ข้อมูลธุรกรรมดังกล่าวจะถูกเรียกว่า Block และจะถูกจัดเก็บไว้ในระบบต่อจาก Block อื่นๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าคล้ายเป็นโซ่ (Chain) ที่เรียงต่อกัน และจะไม่สามารถแก้ไขข้อมูล Block เหล่านั้นในภายหลังได้ นอกจากนี้ สมาชิกที่เกี่ยวข้องใน Platform สามารถร่วมตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมที่เกิดความผิดปกติได้ ทำให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีความโปร่งใส

ประโยชน์ของ Blockchain

รูปแบบการทำงานของ Blockchain ซึ่งแตกต่างจากระบบการทำธุรกรรมทางการเงินในแบบดั้งเดิม ส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการทางการเงินในด้านต่างๆ ดังนี้

1. ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปมักดำเนินการผ่านสถาบันการเงินและบริษัทผู้ให้บริการระบบหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ใช้เวลานานกว่าเมื่อเทียบกับระบบ Blockchain ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศผ่านระบบดิจิทัลได้โดยไม่มีตัวกลาง

2. ช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรมทางการเงิน การดำเนินการผ่านตัวกลางหลายแห่ง ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงและก่อให้เกิดข้อผิดพลาดในแต่ละขั้นตอนได้ง่าย รวมทั้งมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่าค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่าน Blockchain จะอยู่ที่ 0.01-0.05% ของมูลค่าธุรกรรม

3. ช่วยสร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น เนื่องจากข้อมูลธุรกรรมจะถูกเข้ารหัสไว้โดยเจ้าของธุรกรรมทำให้สมาชิกเครือข่ายรายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขข้อมูลธุรกรรมได้ รวมทั้งการโจมตีระบบโดย Hacker ยังกระทำได้ยาก เนื่องจากข้อมูล Block ที่ถูกเรียงต่อกันเป็นโซ่ยาวทำให้ Hacker ต้องใช้ระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และใช้เวลานานในการโจรกรรมเทียบกับระบบปัจจุบันที่ข้อมูลจะอยู่ที่ธนาคารเจ้าของธุรกรรม ทำให้มีโอกาสที่ถูกโจรกรรมได้ง่าย

4. ธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีความโปร่งใส เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องและเป็นสมาชิกของเครือข่ายสามารถร่วมตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมในกรณีที่เกิดความผิดปกติหรือเกิดการโจรกรรมข้อมูล ต่างจากระบบการเงินในปัจจุบันที่สถาบันการเงินเป็นผู้จัดเก็บข้อมูลธุรกรรมและเป็นผู้ตรวจสอบแต่เพียงผู้เดียว

การพัฒนาระบบ Blockchain ของสถาบันการเงิน

การกำเนิดขึ้นของ Blockchain ในช่วงแรกๆ สร้างแรงกดดันต่อระบบสถาบันการเงิน เนื่องจากรูปแบบการทำงานของ Blockchain ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่างสถาบันการเงินอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดมาสถาบันการเงินปรับกลยุทธ์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วยการพัฒนา Platform ที่ใช้รองรับ Blockchain ตลอดจนต่อยอด Blockchain ไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เพื่อคงไว้ซึ่งบทบาทและความสำคัญในฐานะผู้ให้บริการทางการเงิน ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินก็ใช้จุดแข็งด้านความน่าเชื่อถือ รวมทั้งฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อขยายบทบาทของสถาบันการเงินในระบบ Blockchain นอกจากนี้ ล่าสุดสถาบันการเงินหลายแห่งยังร่วมกันพัฒนาและใช้ Platform เดียวกัน เพื่อลดข้อจำกัดในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกัน ดังจะเห็นได้จากการประกาศร่วมมือกันระหว่างสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs (สหรัฐฯ) และ Barclays (สหราชอาณาจักร) รวมถึงการรวมกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเทคโนโลยีทั่วโลกในนามกลุ่ม R3 เพื่อร่วมกันพัฒนา Blockchain และเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้มีสถาบันการเงินกว่า 55 แห่งทั่วโลกเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม R3 แล้ว อาทิ Citi (สหรัฐฯ) Morgan Stanley (สหรัฐฯ) HSBC (สหราชอาณาจักร) Mitsubishi UFJ (ญี่ปุ่น) รวมถึงธนาคารกรุงเทพของไทย

บทบาทของ Blockchain ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงบริบทของสถาบันการเงินในโลกยุคใหม่เท่านั้น ทว่า Blockchain อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจโลก โดย World Economic Forum คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 Blockchain จะมีส่วนในการสร้าง GDP ของโลกราว 10% ขณะที่รัฐบาลอาจใช้ Blockchain ในการจัดเก็บภาษีแทนระบบเดิม อย่างไรก็ตาม Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ทำงานในโลกดิจิทัล ทำให้การทำงานของ Blockchain ตั้งอยู่บนแนวคิด “Transfer of Trust in a Trustless World” ดังนั้น ความท้าทายในการพัฒนาระบบ Blockchain คือ การทำให้ผู้ใช้บริการมีความเชื่อมั่นในระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาระบบต้องคำนึงถึง เพื่อสร้างความยั่งยืนแก่ระบบ Blockchain ต่อไปในอนาคต

Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด

--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนกันยายน 2559--


แท็ก นวัตกรรม  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ