ส่องเทรนด์โลก: เทรนด์ใหม่เครื่องประดับแดนภารตะ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 27, 2019 14:43 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในอินเดียนับว่ามีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพราะนอกจากขนาดของตลาดที่ใหญ่มากด้วยจำนวนประชากรมากถึง 1,300 ล้านคนแล้ว การนิยมสวมใส่เครื่องประดับของชาวอินเดียยังเป็นการผสมผสานระหว่างการสวมใส่ตามแฟชั่นทั่วไปกับการสื่อความหมายในเชิงสัญลักษณ์และความเชื่อ เช่น สตรีชาวอินเดียที่แต่งงานแล้วจะสวมกำไลแขนและแหวนนิ้วเท้าเพื่อบ่งบอกสถานภาพสมรส และจะใส่เครื่องประดับห่วงจมูกเพราะเชื่อว่าจะทำให้ลมหายใจบริสุทธิ์และช่วยให้สามีมีสุขภาพแข็งแรง ขณะที่มีสตรีที่ยังไม่แต่งงานบางคนใส่เครื่องประดับห่วงจมูกเป็นแฟชั่น นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังใช้เครื่องประดับเพื่อสื่อถึงสถานะทางสังคม ทำให้การลงทุนซื้ออัญมณีและเครื่องประดับเก็บไว้เป็นทรัพย์สินยังเป็นที่นิยมในสังคมชาวอินเดีย สำหรับในปี 2561 ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดียมีมูลค่าสูงถึงราว 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเมืองและจำนวนผู้มีรายได้ปานกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ India Brand Equity Foundation (IBEF) คาดว่ากลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางของอินเดียจะเพิ่มขึ้นจากราว 200-250 ล้านคนในปี 2560 เป็น 500 ล้านคน ในปี 2568

นอกจากกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางที่เพิ่มขึ้นแล้ว คนรุ่นใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากถึง 353 ล้านคนในปี 2573 ก็มีอิทธิพลต่อตลาดอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดีย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เปิดรับวัฒนธรรมจากต่างประเทศ ทำให้พฤติกรรมการเลือกซื้ออัญมณีและเครื่องประดับในอินเดียมีแนวโน้มเปลี่ยนไปจากเดิมและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทยในการรุกตลาดเครื่องประดับอินเดีย อาทิ

  • ชาวอินเดียนิยมเลือกซื้อเครื่องประดับในโอกาสพิเศษต่างๆ มากขึ้น ปัจจุบันชาวอินเดียโดยเฉพาะชาวอินเดียรุ่นใหม่ที่เคยไปศึกษาในต่างประเทศหันมาเลือกซื้อเครื่องประดับเป็นของขวัญให้แก่กันในเทศกาลและวันสำคัญตามแบบตะวันตกอย่างวันขึ้นปีใหม่ วันวาเลนไทน์ และวันคริสต์มาส เพิ่มเติมจากเดิมที่นิยมซื้อเครื่องประดับเฉพาะในโอกาสสำคัญอย่างงานแต่งงาน ซึ่งมักจัดในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป โดยนิยมใช้เครื่องประดับทองเป็นสินสอดและเป็นเครื่องประดับของเจ้าสาว ทั้งนี้ มีการประมาณการค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องประดับสำหรับงานแต่งงานว่าสูงถึง 35-45% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดงานแต่งงาน คิดเป็นมูลค่าสูงถึงปีละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเทศกาลดิวาลี (Diwali) หรือเทศกาลแห่งแสง ซึ่งถือเป็นการต้อนรับปีใหม่ของศาสนาฮินดู จัดในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เทศกาลนี้ชาวอินเดียนิยมซื้อเครื่องประดับเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่สมาชิกในครอบครัวและญาติพี่น้อง ทั้งนี้ World Gold Council ประเมินว่าการซื้อเครื่องประดับทองในเทศกาลดิวาลีมักเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติถึง 10-15% จะสังเกตได้ว่าความถี่ในการซื้อเครื่องประดับของชาวอินเดียที่เพิ่มขึ้นเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดเครื่องประดับในอินเดีย โดยเฉพาะเครื่องประดับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ อาทิ จี้หัวใจสำหรับวันวาเลนไทน์ เพื่อให้ถูกใจผู้ซื้อมากขึ้น
  • เครื่องประดับอื่นๆ นอกจากเครื่องประดับทอง ได้รับความสนใจมากขึ้น แม้ชาวอินเดียโดยรวมยังคงชื่นชอบเครื่องประดับทอง โดยเฉพาะชาวอินเดียในรัฐทมิฬนาฑู รัฐเกรละ รัฐกรณาฏกะ ทางภาคใต้ของประเทศ ซึ่งมีการซื้อทองคำและเครื่องประดับทองสูงถึง 90% ของการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับทั้งหมดของทั้งประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเครื่องประดับเงินเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากชาวอินเดียที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานและยังมีรายได้ไม่สูงนัก เนื่องจากเครื่องประดับเงินมีราคาเฉลี่ยราว 2,000 รูปี หรือราว 1,100 บาท ต่ำกว่าเครื่องประดับทองที่มีราคาเริ่มต้นที่ 20,000 รูปี หรือราว 11,000 บาท ประกอบกับชาวอินเดียรุ่นใหม่เปิดรับกระแสแฟชั่นและรสนิยมจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้อินเดียมีความต้องการซื้อเครื่องประดับอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำจากทองคำแท้มากขึ้น ปัจจุบันแบรนด์เครื่องประดับชื่อดังหลายแบรนด์เริ่มนำเครื่องประดับเงินมาจำหน่ายในอินเดีย อาทิ Tiffany & Co. และ Damas Jewelry อนึ่ง จากศักยภาพของไทยในการผลิตและส่งออกเครื่องประดับเงินจนเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก จึงเป็นโอกาสของไทยในการเข้าไปรุกตลาดเครื่องประดับเงินในอินเดียที่กำลังได้รับความนิยม สำหรับเครื่องประดับที่ทำด้วยเงินที่ชาวอินเดียนิยมมากที่สุด คือ สร้อยข้อเท้า ซึ่งผู้ประกอบการอาจออกแบบให้ร่วมสมัย เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ มีน้ำหนักเบา โดยเน้นเจาะตลาดตามหัวเมืองใหญ่ๆ ที่มีคนรุ่นใหม่อาศัยอยู่จำนวนมาก เช่น เมืองมุมไบ รัฐมหาราษฎระ เมืองกัลกัตตา รัฐเบงกอลตะวันตก และกรุงนิวเดลี มีข้อแนะนำว่าแม้ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในอินเดียยังมีโอกาสอีกมาก แต่การจะประสบความสำเร็จในตลาดอินเดียได้นั้น นอกจากต้องใส่ใจศึกษารสนิยม วัฒนธรรม และประเพณี ของชาวอินเดียอย่างลึกซึ้งแล้ว ผู้ประกอบการยังควรติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอินเดียอย่างสม่ำเสมอ พร้อมหาทางปรับการผลิตและการออกแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป อาทิ การขยายตลาดในพื้นที่ทางเหนือซึ่งนิยมเครื่องประดับที่มีลวดลายทางศาสนาอย่างสัญลักษณ์ ? หรือที่เรียกว่า “โอม” ซึ่งเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในภาษาฮินดีที่เชื่อว่าจะนำพาความสำเร็จ ความร่ำรวย และความโชคดีมาให้ นอกจากนี้ ควรพัฒนาการผลิตเพื่อทำให้เครื่องประดับมีน้ำหนักเบาลง พร้อมออกแบบชิ้นงานให้เล็กลง เพื่อให้สะดวกต่อการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน รวมถึงใช้วัตถุดิบอื่นๆ แทนทองคำหรือเพชรเพื่อให้มีราคาย่อมเยา เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงวัยและฐานะทางเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายขึ้น

Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนมิถุนายน 2562


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ