ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริบททางการค้าระหว่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงและเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กระแสนิยมใหม่ (Megatrend) รวมถึงล่าสุดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการส่งออกของไทยเป็นเหมือน ?ต้นไม้? จะสังเกตเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงในหลายส่วน ทั้งที่ทำให้ต้นไม้แข็งแรงและอ่อนแอ ดังนี้
- การส่งออกเริ่มแตกกิ่งก้านสาขามากขึ้น หมายถึง การส่งออกของไทยได้กระจายกิ่งก้านไปยังตลาดส่งออกใหม่ ๆ มากขึ้น ปัจจุบันพบว่าสัดส่วนการส่งออกไปประเทศพัฒนาแล้ว (ตลาดหลักเดิมของไทย) ต่อการส่งออกไปประเทศเกิดใหม่อยู่ที่
50 : 50 ทำให้หากเกิดวิกฤตในตลาดใดตลาดหนึ่งก็ยังมีตลาดอื่น ๆ ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา อย่างในช่วงปี 2558-2559 ที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำสุดตั้งแต่ Hamburger Crisis การส่งออกไทยก็ได้ตลาดใหม่โดยเฉพาะ CLMV ที่ขยายตัวโดดเด่นช่วยพยุงการส่งออกโดยรวมเอาไว้ หรือวิกฤต COVID-19 ครั้งนี้ ที่ได้ตลาดสหรัฐฯ จีน และตลาดดาวรุ่งบางแห่ง อาทิ ฮังการี และอียิปต์ช่วยประคับประคองเช่นกัน ทั้งนี้ ความท้าทายในระยะถัดไปนอกจากการส่งเสริม E-commerce เพื่อเป็นทางลัดในการขยายตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพไม่ว่าจะเป็น CLMV แอฟริกา ยุโรปตะวันออก และเอเชียใต้แล้ว ยังต้องเร่งส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานกลับมายังประเทศไทยให้มากขึ้น เพราะไม่เพียงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร แต่ยังช่วยเพิ่มช่องทางการส่งออกให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ โดยเฉพาะ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันอีกด้วย
- การส่งออกผลิดอกออกผลหลากหลาย เก็บเกี่ยวได้ทุกฤดู หมายถึง สินค้าส่งออกของไทยมีความหลากหลาย จึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกในทุกสภาวะ สะท้อนจาก 4 ปีที่ผ่านมาที่การส่งออกโดยรวมต้องเผชิญสงครามการค้าและวิกฤต COVID-19 ซึ่งส่งผลให้สินค้าอุตสาหกรรมหลักส่วนใหญ่หดตัว แต่สินค้าเกษตรและอาหารหลายชนิดกลับขยายตัวและช่วยพยุงการส่งออกโดยรวมไม่ให้หดตัวมาก อาทิ ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมบางชนิดก็ตอบสนองกระแส Work from Home และกระแสรักษ์สุขภาพได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นถุงมือยาง เวชภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ความท้าทายในระยะถัดไปคือการใช้ความเชี่ยวชาญของไทยในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและการแพทย์ ในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ พร้อมทั้งยกระดับห่วงโซ่อุปทานผ่านการเพิ่ม Value-added ให้กับสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาและสร้างอำนาจต่อรองทางการค้า ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมเข้มข้นและเกาะไปกับกระแสแห่งอนาคต อาทิ พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า ออโตเมชั่น เพื่อทำให้ไทยกลายเป็น Value-added & Innovative Hub ของภูมิภาคในระยะถัดไป
- การส่งออกยังขาดไม้ค้ำยันเมื่อเจอลมพายุ หมายถึง ผู้ส่งออกไทยยังใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงน้อย แม้ 4 ปีที่ผ่านมาเงินบาทจะผันผวนในทิศทางแข็งค่าถึง 20% จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่งผลให้รายรับของผู้ส่งออกลดลง แต่ข้อมูลล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าผู้ประกอบการส่งออกป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินเพียง 19% ของมูลค่าส่งออกรวม ทั้งนี้ หากพิจารณาธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ (ทั้งด้านการส่งออกและการนำเข้า) ในมิติของขนาดผู้ประกอบการพบว่า มีผู้ประกอบการรายใหญ่ถึง 56% ที่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ขณะที่มีผู้ประกอบการ SMEs เพียง 29% เท่านั้นที่ป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระค่าสินค้าที่ทำให้ผู้ส่งออกได้รับความเสียหายจากการไว้ใจคู่ค้ามากเกินไป หรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศคู่ค้า ดังนั้น ผู้ส่งออกควรทำประกันก่อนที่จะส่งออก รวมถึงหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรค่าเงินในทุกกรณี และหันมาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเพื่อจะได้นำทรัพยากรที่มีทุ่มไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าดีกว่าต้องมากังวลเรื่องค่าเงินในแต่ละวัน
- การส่งออกยังพึ่งพารากแก้วเป็นหลัก หมายถึง การส่งออกของไทยยังพึ่งพาผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นหลัก สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าส่งออกของผู้ประกอบการรายใหญ่ (นิยามใหม่ของ สสว.) ต่อมูลค่าส่งออกรวมที่สูงถึง 85% ขณะที่มูลค่าส่งออกของ SMEs คิดเป็นเพียง 15% ทั้งที่จำนวนผู้ส่งออกรายใหญ่มีน้อยกว่าผู้ส่งออก SMEs ถึง 3 เท่า ขณะที่หากมองจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีทั้งระบบกว่า 3.1 ล้านรายพบว่ามี SMEs ไม่ถึง 1% เท่านั้นที่สามารถพัฒนาตนเองจนเป็นผู้ส่งออกได้ ซึ่งก็มีหลายสาเหตุ ทั้งจากการขาดความรู้ ขาดเงินทุน ขาดคู่ค้า และที่สำคัญขาดความเชื่อมั่นในการทำการค้าระหว่างประเทศ สิ่งนี้เป็นความท้าทายสำคัญของไทยในการร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และสร้าง Ecosystem ด้านการส่งออกของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น จะเห็นว่าการส่งออกของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีพัฒนาการดีขึ้นในหลายประเด็น แต่ก็มีบางจุดที่ต้องพัฒนาเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันพัฒนาและต่อยอดต้นไม้แห่งการส่งออกต้นนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปอนาคต
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนมีนาคม 2564