ปัจจุบันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีภาพที่ชัดเจนขึ้นหลังจากที่ทรุดตัวรุนแรงในปีที่ผ่านมา โดยล่าสุด IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2564 เป็น 6% ซึ่งนอกจากได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจจีนที่จะกลับมาขยายตัวอย่างร้อนแรงที่ระดับ 8.4% แล้ว ยังมีการกระจายวัคซีนของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ทำได้เป็นวงกว้าง ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วและแรงถึง 6.4% ก็ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ การเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจโลกเพื่อเร่งเครื่องออกจากภาวะชะงักงันในช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดรุนแรงในปีที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการของโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันการที่หลายประเทศทั่วโลกอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจยิ่งทำให้ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนให้แก่ภาคธุรกิจ ตลอดจนก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มมากขึ้น ล้วนเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องจับตามองและเตรียมพร้อมรับมือ ดังนี้
ดัชนีราคานำเข้าของไทยมีสัญญาณการเร่งตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 5.7% (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และขยายตัวในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะหมวดเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นราว 20% ขณะที่หมวดวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 4.9% และหมวดสินค้าทุนเพิ่มขึ้น 2% โดยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นจะทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะราคาน้ำมันมีทิศทางปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการมีแนวโน้มสูงขึ้นตาม โดยเฉพาะผู้ประกอบการในธุรกิจโลจิสติกส์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงต้นทุนโดยรวมของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นยังซ้ำเติมสถานการณ์ค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง หลังจากได้ปรับขึ้นมาแล้วราว 3-5 เท่าในปัจจุบัน จากผลกระทบของภาวะขาดแคลนตู้สินค้า ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปีที่กว่า 1.7% ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2564 และคาดกันว่าจะปรับเพิ่มเป็นกว่า 2% ภายในปี 2564 ซึ่งเข้าใกล้ระดับก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 จึงเห็นสัญญาณการปรับขึ้นของต้นทุนในการกู้ยืมและระดมทุน ดังนี้
ปี 2564 : ต้นทุนในการออกตราสารหนี้ของภาคเอกชนไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นตามอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทย โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ได้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 2% ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 ซึ่งเป็นการปรับตัวตามตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ และจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคเอกชนที่ต้องการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ในระยะข้างหน้า
ปี 2565 : อัตราดอกเบี้ยเริ่มมีทิศทางขาขึ้น แม้ว่าในปี 2564 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในทิศทางขาขึ้นตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ของหลายประเทศยังเห็นความสำคัญของการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับ ต่ำเพื่อใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยพยุงเศรษฐกิจ ทำให้คาดกันว่าเมื่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีทิศทางฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในปี 2565 ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย น่าจะเริ่มทยอยปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในทิศทางขาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนรุนแรงขึ้น
ระยะสั้น : เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวแข็งแกร่ง ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับเข้าสหรัฐฯ โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การกระจายวัคซีนที่คืบหน้าไปมาก และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะ 10 ปีที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นตลาดการเงินที่น่าลงทุนเมื่อเทียบกับตลาดประเทศอื่น ๆ ที่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน และจูงใจให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับเข้าสหรัฐฯ ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ซึ่งในทางกลับกันก็ทำให้เงินบาทผันผวนในทิศทางอ่อนค่า โดยในเดือนมีนาคม 2564 เงินบาทได้อ่อนค่าลงราว 3% เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ระยะกลาง-ยาว : การลงทุนเพื่อถือสินทรัพย์เสี่ยงอาจกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง ในระยะถัดไป หากสถานการณ์การระบาดคลี่คลายลง ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกลับมาดำเนินธุรกรรมได้ตามปกตินักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดการถือครองสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างดอลลาร์สหรัฐและหันมาเก็งกำไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนสูงแทน นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่หากขยายตัวร้อนแรงเกินไปก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ FED ลดการอัดฉีดสภาพคล่องเร็วกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะกดดันให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก
แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีน จะสร้างโอกาสส่งออกแก่ธุรกิจไทย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดความผันผวนของค่าเงินบาทที่รุนแรงขึ้น ตลอดจนส่งผลกระทบทางลบจากต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น ซึ่งแม้ความเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อบรรเทาผลกระทบได้
การบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ประกอบการควรป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างเสถียรภาพของรายได้ ไม่ผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยน และช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งมีเงินทุนหมุนเวียนและสายป่านค่อนข้างจำกัด ทำให้การขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของธุรกิจได้ ทั้งนี้ แนวทางการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่สำคัญ มีดังนี้
- การบริหารความเสี่ยงด้วยตนเอง : ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจมีภาระทั้งการส่งออกและนำเข้า สามารถบริหารรายได้กับรายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศด้วยการนำรายได้และรายจ่ายสกุลเดียวกันที่มีการส่งมอบในเวลาใกล้เคียงกันมาหักกลบลบหนี้กัน (Natural Hedge) นอกจากนี้ หากสามารถตกลงกับคู่ค้าเพื่อให้รับชำระหรือจ่ายค่าสินค้าเป็นเงินบาทได้ ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนไปได้มาก
- การบริหารความเสี่ยงด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน : ผู้ประกอบการสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินในการป้องกันความเสี่ยง อาทิ การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) ซึ่งเป็นการคงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าสำหรับธุรกรรมที่จะเกิดขึ้น หรือ การประกันค่าเงิน (FX Options)ซึ่งเป็นการซื้อประกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อช่วยลดความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดรายได้หรือต้นทุนทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการด้านต้นทุน เพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบของต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาทิ การลดสต็อกวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปที่เหลือในคลังสินค้าให้น้อยที่สุด เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าคงคลัง รวมถึงต้นทุนการเงินจากการแบกรับสต็อกมากกว่าที่ต้องการใช้ในการผลิต ขณะที่ผู้ประกอบการ SMEs อาจเริ่มต้นด้วยการจัดทำระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐานเพื่อจำแนกต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้ทราบต้นทุนของธุรกิจที่แน่นอน ก่อนจะหาแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนในส่วนต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ หากผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ควรพิจารณาเลือกใช้กับเฉพาะตลาดส่งออกที่มีทิศทางฟื้นตัวดี เช่น สหรัฐฯ และจีน ขณะที่ตลาดอื่น อาทิ CLMV อาจยังไม่พร้อมรับกับการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการอาจต้องตรึงราคาที่ระดับเดิมหรือปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนเมษายน 2564