ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายการเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี อาทิราคาเหล็กเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ราคาน้ำมันดิบ Brent สูงสุดในรอบ 2 ปี และราคาทองแดงสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี โดยมีแรงหนุนจากเศรษฐกิจและภาคการผลิตโลก นำโดยสหรัฐฯ และจีนที่ฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่หลายฝ่ายคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะถัดไปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการที่เศรษฐกิจของอีกหลายประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังจากที่มีการทยอยฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วดังกล่าวจะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในหลายมิติ ดังนี้
- เศรษฐกิจของประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิตขนาดใหญ่ อาทิ บราซิล (ผู้ส่งออกแร่เหล็กอันดับ 2 ของโลก) ชิลี (ผู้ส่งออกทองแดงอันดับ 1 ของโลก) รวมถึงประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจของลาตินอเมริกาและตะวันออกกลางในปี 2563 หดตัว 7.0% และ 2.9% ตามลำดับ นับเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจหดตัวมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างไรก็ตาม จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้หน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่งต่างทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2564 ของทั้งสองภูมิภาคขึ้น นอกจากนี้ หากพิจารณาการส่งออกของไทยไปทั้งสองภูมิภาคดังกล่าวเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วง 4 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าส่งออกของไทยไปลาตินอเมริกาเพิ่มขึ้นราว 20% และตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับมูลค่าส่งออกรวมที่เพิ่มขึ้น 4.8%
- ตลาดเกิดใหม่บางประเทศมีแนวโน้มเผชิญปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน โดยเฉพาะประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ในสัดส่วนสูงและมีพื้นฐานเศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งนักจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรังเป็นทุนเดิมไม่ว่าจะเป็นตุรกี โรมาเนีย และหลายประเทศในแอฟริกา รวมถึงบังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกาที่เริ่มกลับมาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 ซึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วดังกล่าว จะยิ่งกดดันให้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรงขึ้น จนอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเงินและอัตราแลกเปลี่ยน โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ค่าเงินของตุรกีและศรีลังกาในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2564 อ่อนค่าลงกว่า 16% และ 6% ตามลำดับ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกดดันกำลังซื้อ ความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป
- หลายประเทศเริ่มเผชิญข้อจำกัดในการใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศเร่งตัวขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มข้อจำกัดให้กับธนาคารกลางในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางของหลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณที่จะแตะเบรกนโยบายการเงิน เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้เกินกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางแคนาดาที่ส่งสัญญาณว่าอาจลดวงเงินซื้อพันธบัตรลง 25% รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายคาดว่าอาจพิจารณาลดวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรลงในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งหากแตะเบรกแรงเกินไปอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จะเห็นได้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แตกต่างกันไป ดังนั้น ผู้ส่งออกจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งประเด็นเรื่องราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ในการสร้างโอกาสทางการค้า รวมถึงเตรียมเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
Disclaimer: ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนมิถุนายน 2564