บทวิเคราะห์เรื่อง "ประเทศไทยจะใช้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าได้อย่างไร": ประเทศไทยจะใช้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าได้อย่างไรโดย ฝ่ายวิชาการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
เงินบาทจะแข็งค่าไปถึงไหน และจะหยุดแข็งเมื่อไร? เป็นคำถามยอดฮิตที่ติดปากผู้ประกอบการในแวดวงส่งออกเป็นอย่างมากในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะปัญหาเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าที่สร้างสถิติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจากปัญหาเศรษฐกิจและภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่ย่ำแย่และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววัน ทำให้ยากที่จะคาดการณ์ว่าวิกฤตเงินบาทแข็งค่าในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้ส่งออก คือการปรับตัวและใช้สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าให้เกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมไปกับการสร้างเกราะคุ้มกันให้แก่ตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องผ่านช่วงวิกฤติเงินบาทครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า
เมื่อกล่าวถึงการปรับตัว หากดูจากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ ที่เคยเผชิญปัญหาเงินแข็งค่า (Currency Appreciation) พบว่า มีหลายประเทศที่ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับปัญหาเงินแข็งค่าได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างความสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือ กรณีที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่น ซึ่งคงต้องย้อนกลับไปในปี 2528 ภายหลังการทำข้อตกลง Plaza Accord เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นถึง 67% ภายในเวลา 3 ปี จาก 250 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2528 เป็น 150 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2531 ขณะเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าว สินค้าญี่ปุ่นยังถูกซ้ำเติมจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จากสหรัฐฯ และยุโรป
ในเวลานั้น ญี่ปุ่นหาทางออกด้วยวิธีการเชิงรุก คือ แทนที่จะมองเงินเยนแข็งค่าเป็นอุปสรรค แต่กลับมองเป็นโอกาสในการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างฐานการผลิตภายนอกประเทศ โดยพุ่งเป้ามายังเอเชียตะวันออกและอาเซียน ซึ่งแน่นอนว่า เงินเยนที่แข็งค่าช่วยให้ญี่ปุ่นมีต้นทุนถูกลงในการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ และยังช่วยลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน เพราะค่าจ้างในประเทศที่เข้าไปลงทุนถูกกว่าในญี่ปุ่น ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าญี่ปุ่นไปประเทศปลายทางเหล่านั้น โดยเฉพาะสินค้าทุนประเภทเครื่องจักร ตลอดจนสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการ AD ที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้กับสินค้าญี่ปุ่นได้ในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ ผลของการออกไปลงทุนในต่างประเทศทำให้มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2528 เป็น 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2532 หรือคิดเป็น 30% ของมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงทั้งหมดของโลก ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นคงสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำเศรษฐกิจและการค้าของโลกได้จวบจนทุกวันนี้
เมื่อย้อนกลับมามองสถานการณ์ส่งออกของบ้านเราในปัจจุบัน พบว่าคล้ายคลึงกับญี่ปุ่นในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ดังกล่าวมาก คือ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยรุมเร้ารอบด้าน ทั้งเงินบาทแข็งค่า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงที่อาจถูกตัดสิทธิ GSP ในหลายสินค้า ดังนั้น การขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศเช่นที่ญี่ปุ่นเคยปฏิบัติมาก่อนนับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยไว้ ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าเช่นปัจจุบันนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนถูกลง รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิ GSP และแรงงานราคาถูกของประเทศที่เข้าไปลงทุนแล้ว ยังช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะการลงทุนในต่างประเทศนับเป็นช่องทางระบายอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอยู่มากในประเทศ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ออกไปได้ส่วนหนึ่ง
นอกจากประสบการณ์ของญี่ปุ่นแล้ว นิวซีแลนด์เป็นกรณีตัวอย่างของการปรับตัวในอีกแง่มุมหนึ่ง ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเงินดอลลาร์ของนิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้นถึง 46% จาก 1.9 นิวซีแลนด์ดอลลาร์ต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2546 เป็น 1.3 นิวซีแลนด์ดอลลาร์ต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 2550 ซึ่งในช่วงดังกล่าวผู้ส่งออกนิวซีแลนด์รับมือกับปัญหาเงินแข็งค่าด้วยการหันมามุ่งเน้นป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ซึ่งจากผลการศึกษาของ Ministry of Economic Development ประเทศนิวซีแลนด์พบว่า ในปี 2546 มูลค่าส่งออกของนิวซีแลนด์ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมีสัดส่วนเพียง 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมาอยู่ที่ระดับ 70% ในปี 2550 โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ผู้ส่งออกนิวซีแลนด์มีการป้องกันความเสี่ยงคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด
หันกลับมามองประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากข้อมูล Hedging Ratio ของผู้ส่งออก ซึ่งสะท้อนถึงสัดส่วนการทำธุรกรรมด้านการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับการทำธุรกรรมส่งออกทั้งหมด พบว่าในปี 2550 (ข้อมูลถึงเดือนกันยายน) Hedging Ratio ของผู้ส่งออกอยู่ที่ระดับเพียง 32% แสดงให้เห็นว่าผู้ส่งออกไทยยังตระหนักถึงการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับผู้ส่งออกรายย่อย คือ สถาบันการเงินมักตั้งวงเงินขั้นต่ำในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งส่วนใหญ่มียอดคำสั่งซื้อไม่ถึงวงเงินขั้นต่ำดังกล่าว ไม่สามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น ก็ได้ออกมาตรการเสริม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดย ธปท. จะรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากสถาบันการเงินที่ได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศจากผู้ประกอบการรายย่อยไว้ ดังนั้น จึงถือเป็นจังหวะดีของผู้ประกอบการไทยที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อันจะช่วยบรรเทาและลดผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าได้ระดับหนึ่ง
การปรับตัวของญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ภายใต้ภาวะเงินแข็งค่า เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้เป็นกรณีศึกษาและนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศเรา โดยนอกจากจะเป็นโอกาสในการขยายการผลิตและการลงทุนไปยังประเทศที่เป็นแหล่งทรัพยากรและแรงงาน รวมถึงเป็นตลาดรองรับสินค้าของเราแล้ว ยังเป็นโอกาสดีในการนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งอย่างน้อยกรณีตัวอย่างของทั้งสองประเทศ ก็ยืนยันให้เห็นว่าการเผชิญกับเงินแข็งค่าอย่างมีสติ และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมไปกับการไม่ละเลยที่จะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ก็จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องคอยลุ้นระทึกว่า เงินบาทจะแข็งค่าไปถึงไหน และจะหยุดแข็งเมื่อไร?
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2551--
-พห-
เงินบาทจะแข็งค่าไปถึงไหน และจะหยุดแข็งเมื่อไร? เป็นคำถามยอดฮิตที่ติดปากผู้ประกอบการในแวดวงส่งออกเป็นอย่างมากในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะปัญหาเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าที่สร้างสถิติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจากปัญหาเศรษฐกิจและภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่ย่ำแย่และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววัน ทำให้ยากที่จะคาดการณ์ว่าวิกฤตเงินบาทแข็งค่าในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้ส่งออก คือการปรับตัวและใช้สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าให้เกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมไปกับการสร้างเกราะคุ้มกันให้แก่ตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องผ่านช่วงวิกฤติเงินบาทครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า
เมื่อกล่าวถึงการปรับตัว หากดูจากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ ที่เคยเผชิญปัญหาเงินแข็งค่า (Currency Appreciation) พบว่า มีหลายประเทศที่ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับปัญหาเงินแข็งค่าได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างความสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือ กรณีที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่น ซึ่งคงต้องย้อนกลับไปในปี 2528 ภายหลังการทำข้อตกลง Plaza Accord เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นถึง 67% ภายในเวลา 3 ปี จาก 250 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2528 เป็น 150 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2531 ขณะเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าว สินค้าญี่ปุ่นยังถูกซ้ำเติมจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จากสหรัฐฯ และยุโรป
ในเวลานั้น ญี่ปุ่นหาทางออกด้วยวิธีการเชิงรุก คือ แทนที่จะมองเงินเยนแข็งค่าเป็นอุปสรรค แต่กลับมองเป็นโอกาสในการออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างฐานการผลิตภายนอกประเทศ โดยพุ่งเป้ามายังเอเชียตะวันออกและอาเซียน ซึ่งแน่นอนว่า เงินเยนที่แข็งค่าช่วยให้ญี่ปุ่นมีต้นทุนถูกลงในการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ และยังช่วยลดต้นทุนค่าจ้างแรงงาน เพราะค่าจ้างในประเทศที่เข้าไปลงทุนถูกกว่าในญี่ปุ่น ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าญี่ปุ่นไปประเทศปลายทางเหล่านั้น โดยเฉพาะสินค้าทุนประเภทเครื่องจักร ตลอดจนสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการ AD ที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้กับสินค้าญี่ปุ่นได้ในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ ผลของการออกไปลงทุนในต่างประเทศทำให้มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2528 เป็น 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2532 หรือคิดเป็น 30% ของมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงทั้งหมดของโลก ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นคงสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำเศรษฐกิจและการค้าของโลกได้จวบจนทุกวันนี้
เมื่อย้อนกลับมามองสถานการณ์ส่งออกของบ้านเราในปัจจุบัน พบว่าคล้ายคลึงกับญี่ปุ่นในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ดังกล่าวมาก คือ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยรุมเร้ารอบด้าน ทั้งเงินบาทแข็งค่า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงที่อาจถูกตัดสิทธิ GSP ในหลายสินค้า ดังนั้น การขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศเช่นที่ญี่ปุ่นเคยปฏิบัติมาก่อนนับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยไว้ ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าเช่นปัจจุบันนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนถูกลง รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิ GSP และแรงงานราคาถูกของประเทศที่เข้าไปลงทุนแล้ว ยังช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะการลงทุนในต่างประเทศนับเป็นช่องทางระบายอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอยู่มากในประเทศ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ออกไปได้ส่วนหนึ่ง
นอกจากประสบการณ์ของญี่ปุ่นแล้ว นิวซีแลนด์เป็นกรณีตัวอย่างของการปรับตัวในอีกแง่มุมหนึ่ง ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเงินดอลลาร์ของนิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้นถึง 46% จาก 1.9 นิวซีแลนด์ดอลลาร์ต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2546 เป็น 1.3 นิวซีแลนด์ดอลลาร์ต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 2550 ซึ่งในช่วงดังกล่าวผู้ส่งออกนิวซีแลนด์รับมือกับปัญหาเงินแข็งค่าด้วยการหันมามุ่งเน้นป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ซึ่งจากผลการศึกษาของ Ministry of Economic Development ประเทศนิวซีแลนด์พบว่า ในปี 2546 มูลค่าส่งออกของนิวซีแลนด์ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมีสัดส่วนเพียง 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมาอยู่ที่ระดับ 70% ในปี 2550 โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ผู้ส่งออกนิวซีแลนด์มีการป้องกันความเสี่ยงคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด
หันกลับมามองประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากข้อมูล Hedging Ratio ของผู้ส่งออก ซึ่งสะท้อนถึงสัดส่วนการทำธุรกรรมด้านการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับการทำธุรกรรมส่งออกทั้งหมด พบว่าในปี 2550 (ข้อมูลถึงเดือนกันยายน) Hedging Ratio ของผู้ส่งออกอยู่ที่ระดับเพียง 32% แสดงให้เห็นว่าผู้ส่งออกไทยยังตระหนักถึงการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับผู้ส่งออกรายย่อย คือ สถาบันการเงินมักตั้งวงเงินขั้นต่ำในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งส่วนใหญ่มียอดคำสั่งซื้อไม่ถึงวงเงินขั้นต่ำดังกล่าว ไม่สามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น ก็ได้ออกมาตรการเสริม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดย ธปท. จะรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากสถาบันการเงินที่ได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศจากผู้ประกอบการรายย่อยไว้ ดังนั้น จึงถือเป็นจังหวะดีของผู้ประกอบการไทยที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อันจะช่วยบรรเทาและลดผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าได้ระดับหนึ่ง
การปรับตัวของญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ภายใต้ภาวะเงินแข็งค่า เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้เป็นกรณีศึกษาและนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศเรา โดยนอกจากจะเป็นโอกาสในการขยายการผลิตและการลงทุนไปยังประเทศที่เป็นแหล่งทรัพยากรและแรงงาน รวมถึงเป็นตลาดรองรับสินค้าของเราแล้ว ยังเป็นโอกาสดีในการนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งอย่างน้อยกรณีตัวอย่างของทั้งสองประเทศ ก็ยืนยันให้เห็นว่าการเผชิญกับเงินแข็งค่าอย่างมีสติ และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมไปกับการไม่ละเลยที่จะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ก็จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องคอยลุ้นระทึกว่า เงินบาทจะแข็งค่าไปถึงไหน และจะหยุดแข็งเมื่อไร?
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2551--
-พห-