ฝ่ายวิชาการ EXIM BANK ชูกรณีศึกษาญี่ปุ่น-นิวซีแลนด์ แนะผู้ส่งออกไทยรับมือเงินบาทแข็งอย่างมีสติ รุกขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยระบายอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐและชะลอการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เพื่อความราบรื่นในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายวิชาการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้จัดทำบทวิเคราะห์เรื่อง “ประเทศไทยจะใช้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าได้อย่างไร” ซึ่งเสนอแนะทางออกให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยรับมือกับเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องอย่างมีสติและรอบคอบ โดยนำกรณีศึกษาจากญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์มาปรับใช้เพื่อสร้างโอกาสและเกราะคุ้มกันให้แก่ธุรกิจส่งออกของไทย
ท่ามกลางปัญหาเงินบาทแข็งค่า เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว และความเสี่ยงที่จะถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences: GSP) ในสินค้าหลายรายการผู้ประกอบการไทยควรรุกขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศเหมือนญี่ปุ่นในอดีต ซึ่งประสบปัญหาเงินเยนแข็งค่าขึ้นถึง 67% ภายในเวลา 3 ปี (ปี 2528-2531) ขณะที่สินค้าญี่ปุ่นถูกซ้ำเติมจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD) ของสหรัฐฯ และยุโรป ทางออกของญี่ปุ่นในเวลานั้นคือ รุกสร้างฐานการผลิตภายนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายที่เอเชียตะวันออกและอาเซียน เพื่อประหยัดต้นทุนการผลิตโดยใช้ประโยชน์จากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นและแรงงานราคาถูกในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่เข้าไปลงทุนโดยเฉพาะเครื่องจักร และโอกาสส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามโดยไม่ต้องเผชิญกับมาตรการ AD ที่ประเทศต่างๆนำมาใช้กับสินค้าญี่ปุ่น การรุกขยายฐานการลงทุนในต่างประเทศในคราวนั้นทำให้มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2528 เป็น 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2532 หรือ 30% ของมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงทั้งหมดของโลก และทำให้ญี่ปุ่นคงสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำเศรษฐกิจและการค้าของโลกได้จนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่มีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีการผลิตและสินค้าทุนที่จะได้ประโยชน์จากกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศเท่ากับญี่ปุ่นในขณะนั้น แต่การขยายฐานการลงทุนของไทยในต่างประเทศยังเป็นกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทย สามารถช่วยยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยด้วยต้นทุนการผลิตและต้นทุนแรงงานที่ถูกลง ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับ GSP ในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ทั้งยังเป็นการช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้อีกทางหนึ่งด้วยเนื่องจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศเป็นช่องทางระบายอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอยู่มากในประเทศ
กรณีของนิวซีแลนด์ ผู้ส่งออกนิวซีแลนด์รับมือกับสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งขึ้นถึง 46% ในช่วงเวลา 5 ปี (ปี 2546-2550) ด้วยการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) โดยมูลค่าส่งออกของนิวซีแลนด์ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจาก 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดในปี 2546 เป็น 70% ในปี 2550 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึงเกือบ 80% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด
ปัจจุบันผู้ส่งออกไทยยังให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่มากนักโดยดูจาก Hedging Ratio ของผู้ส่งออกไทย ณ กันยายน 2550 อยู่ที่ระดับเพียง 32% ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสถาบันการเงินมักตั้งวงเงินขั้นต่ำในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเลิกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นและออกมาตรการเสริมซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดย ธปท. จะรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากสถาบันการเงินที่ได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศจากผู้ประกอบการรายย่อยไว้ จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องกังวลว่าเงินบาทจะแข็งค่าไปถึงไหนและจะหยุดแข็งค่าเมื่อไร รวมทั้งช่วยบรรเทาและลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
นอกจากนี้ การกู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมาประกอบธุรกิจส่งออกและชำระคืนเงินกู้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐโดยไม่ต้องแปลงเป็นเงินบาทเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาระของผู้ส่งออกในการชำระคืนเงินกู้ซึ่งผู้ส่งออกสามารถซื้อประกันความเสี่ยงล่วงหน้า (Forward) เฉพาะในส่วนกำไรได้โดยไม่ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเงินบาทในตอนขายคืน แต่อาจจะมีแรงกดดันต่อเงินบาทบ้างในตอนกู้
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2551--
-พห-
ฝ่ายวิชาการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้จัดทำบทวิเคราะห์เรื่อง “ประเทศไทยจะใช้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่าได้อย่างไร” ซึ่งเสนอแนะทางออกให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยรับมือกับเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องอย่างมีสติและรอบคอบ โดยนำกรณีศึกษาจากญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์มาปรับใช้เพื่อสร้างโอกาสและเกราะคุ้มกันให้แก่ธุรกิจส่งออกของไทย
ท่ามกลางปัญหาเงินบาทแข็งค่า เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว และความเสี่ยงที่จะถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences: GSP) ในสินค้าหลายรายการผู้ประกอบการไทยควรรุกขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศเหมือนญี่ปุ่นในอดีต ซึ่งประสบปัญหาเงินเยนแข็งค่าขึ้นถึง 67% ภายในเวลา 3 ปี (ปี 2528-2531) ขณะที่สินค้าญี่ปุ่นถูกซ้ำเติมจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD) ของสหรัฐฯ และยุโรป ทางออกของญี่ปุ่นในเวลานั้นคือ รุกสร้างฐานการผลิตภายนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายที่เอเชียตะวันออกและอาเซียน เพื่อประหยัดต้นทุนการผลิตโดยใช้ประโยชน์จากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นและแรงงานราคาถูกในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่เข้าไปลงทุนโดยเฉพาะเครื่องจักร และโอกาสส่งออกต่อไปยังประเทศที่สามโดยไม่ต้องเผชิญกับมาตรการ AD ที่ประเทศต่างๆนำมาใช้กับสินค้าญี่ปุ่น การรุกขยายฐานการลงทุนในต่างประเทศในคราวนั้นทำให้มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2528 เป็น 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2532 หรือ 30% ของมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงทั้งหมดของโลก และทำให้ญี่ปุ่นคงสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำเศรษฐกิจและการค้าของโลกได้จนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่มีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีการผลิตและสินค้าทุนที่จะได้ประโยชน์จากกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศเท่ากับญี่ปุ่นในขณะนั้น แต่การขยายฐานการลงทุนของไทยในต่างประเทศยังเป็นกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทย สามารถช่วยยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยด้วยต้นทุนการผลิตและต้นทุนแรงงานที่ถูกลง ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับ GSP ในการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ทั้งยังเป็นการช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้อีกทางหนึ่งด้วยเนื่องจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศเป็นช่องทางระบายอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอยู่มากในประเทศ
กรณีของนิวซีแลนด์ ผู้ส่งออกนิวซีแลนด์รับมือกับสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งขึ้นถึง 46% ในช่วงเวลา 5 ปี (ปี 2546-2550) ด้วยการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) โดยมูลค่าส่งออกของนิวซีแลนด์ที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจาก 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดในปี 2546 เป็น 70% ในปี 2550 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึงเกือบ 80% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด
ปัจจุบันผู้ส่งออกไทยยังให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่มากนักโดยดูจาก Hedging Ratio ของผู้ส่งออกไทย ณ กันยายน 2550 อยู่ที่ระดับเพียง 32% ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสถาบันการเงินมักตั้งวงเงินขั้นต่ำในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเลิกมาตรการดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้นและออกมาตรการเสริมซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดย ธปท. จะรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากสถาบันการเงินที่ได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศจากผู้ประกอบการรายย่อยไว้ จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องกังวลว่าเงินบาทจะแข็งค่าไปถึงไหนและจะหยุดแข็งค่าเมื่อไร รวมทั้งช่วยบรรเทาและลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
นอกจากนี้ การกู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมาประกอบธุรกิจส่งออกและชำระคืนเงินกู้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐโดยไม่ต้องแปลงเป็นเงินบาทเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาระของผู้ส่งออกในการชำระคืนเงินกู้ซึ่งผู้ส่งออกสามารถซื้อประกันความเสี่ยงล่วงหน้า (Forward) เฉพาะในส่วนกำไรได้โดยไม่ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเงินบาทในตอนขายคืน แต่อาจจะมีแรงกดดันต่อเงินบาทบ้างในตอนกู้
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีนาคม 2551--
-พห-