Share โลกเศรษฐกิจ: 3 ปรากฏการณ์สีเขียว...ถึงเวลาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจสู่โลกที่ยั่งยืน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 10, 2023 13:47 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

ปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่โลกเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในหลายด้าน โดยหนึ่งในกระแสหลักที่ทวีความสำคัญมาหลายปีต่อเนื่องและนับเป็น ?Big Issue? ในปีนี้ คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเกี่ยวโยงกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับประเทศ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ สังคม ไปจนถึงครัวเรือน เนื่องจากปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะวิกฤตชัดขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในปี 2564 ที่เกิดภัยธรรมชาติทั่วโลกบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นเกือบ 5 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจาก World Meteorological Organization) ทั่วโลกจึงตื่นตัวและร่วมกันเร่งแก้ปัญหาผ่านเวทีการประชุมต่าง ๆ ทั้งการประชุม APEC 2022 ณ กรุงเทพฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศสมาชิกร่วมกันตั้งหมุดหมายสำคัญไปสู่การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 และลดการใช้พลังงานต่อ 1 หน่วย GDP ลง 45% ภายในปี 2578 รวมถึงการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 27 (COP 27) ณ ประเทศอียิปต์ มุ่งมั่นให้ 90% ของอุตสาหกรรมพลังงานโลกต้องปลอดคาร์บอนภายในปี 2593 จะเห็นได้ว่า การที่ทั่วโลกมุ่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง จะทำให้ภูมิทัศน์และโมเดลธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยขอยกตัวอย่าง ?ปรากฏการณ์สีเขียว? ที่จะเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นในปี 2566 ดังนี้

?ปรากฏการณ์ผู้บริโภคหัวใจสีเขียว...สินค้าต้องรักษ์โลก ถึงจะถูกซื้อ?

หนึ่งในปรากฏการณ์สีเขียวที่ก่อตัวมาอย่างต่อเนื่อง คือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่การให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังขยายตัวในวงกว้างไปทั่วโลก โดยข้อมูลจาก Kantar บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ประเมินผู้บริโภคทั่วโลก พบว่ามีกลุ่ม Eco-Actives (ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 16% ของประชากรโลกในปี 2562 เป็น 22% ในปี 2564 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับ 50% หรือครึ่งหนึ่งของประชากรโลกภายในปี 2572 โดยผู้บริโภคที่มองหาสินค้า Eco-friendly มักให้ความสำคัญกับข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ เช่น สามารถรีไซเคิลได้ ปริมาณการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น นอกจากนี้ ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภค Eco-Actives สร้างมูลค่าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงถึง 446 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ใกล้เคียงกับ GDP มาเลเซีย) ขณะที่เมื่อหันมาพิจารณาในมุมของผู้ผลิตก็พบว่าบริษัทที่ปรับโมเดลธุรกิจให้ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมก็ได้กระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเช่นกัน สะท้อนจากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างบริษัทในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคใน 3 ประเทศ พบว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมักมีผลการดำเนินงานดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม นับเป็นการตอกย้ำว่าการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจสู่เส้นทางสีเขียวเป็นอีกหนึ่งแต้มต่อสำคัญที่จะซื้อใจและเจาะตลาดผู้บริโภคหัวใจสีเขียวที่กำลังเติบโตและจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคสำคัญในระยะถัดไป

?ปรากฏการณ์มาตรการสีเขียว...หากไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พลาดโอกาสการค้าระหว่างประเทศ?

อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง คือ ปรากฏการณ์มาตรการสีเขียวหรือมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายขอบเขตให้ครอบคลุมปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้างมากขึ้นเป็นลำดับ ข้อมูลจากองค์การการค้าโลก (WTO) ระบุว่ามาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ณ ปี 2564 อยู่ที่ราว 17,000 มาตรการ เพิ่มขึ้นราว 6 เท่าจากปี 2554 (10 ปีที่ผ่านมา) ที่มีเพียง 2,652 มาตรการ โดยมีข้อสังเกตว่าประเทศที่ออกมาตรการจำนวนมาก มีทั้งประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรป (EU) สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เช่น จีน บราซิล ฟิลิปปินส์

มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนมาแรง...คู่ค้าสำคัญของโลก ทั้ง EU และสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้

- มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของ EU

กำหนดให้สินค้านำเข้าจากนอกกลุ่ม EU ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม ปุ๋ย ต้องซื้อใบรับรองการปล่อยคาร์บอน (CBAM Certificate) เพื่อเป็นการจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับในการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้กำหนดราคาใบรับรองฯ และจะเริ่มทดลองใช้ในปี 2566-2568 (Transitional Period) ก่อนจะบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2569

- ร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ของสหรัฐฯ

กำหนดให้สินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนเกินเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ปุ๋ย ซีเมนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม กระดาษ ต้องเสียภาษีคาร์บอน โดยในเบื้องต้นจะเริ่มบังคับใช้กับผู้ผลิตในประเทศภายในปี 2567 ก่อนจะขยายขอบเขตไปยังกลุ่มผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในปี 2569

?ปรากฏการณ์กลไกทางการเงินสีเขียว...เครื่องมือสำคัญเพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น?

ปรากฏการณ์สีเขียวสุดท้ายที่กำลังมาแรงและทวีบทบาทสำคัญมากขึ้นในตลาดการเงินโลก คือ ปรากฏการณ์กลไกทางการเงินสีเขียวหรือ Green Finance ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ ครอบคลุมทั้งด้านแหล่งที่มาของเงินทุนและการใช้เงินทุนที่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยรายงานของ TheCityUK ระบุว่าในปี 2564 ตลาด Green Finance โลกมีมูลค่า 540.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2555 หรือขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงปีละ 68% (CAGR) ยิ่งไปกว่านั้น ยังทวีบทบาทสำคัญต่อตลาดการเงินโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีสัดส่วน 4% ของมูลค่าตลาดการเงินโลก เพิ่มขึ้นจาก 0.1% ในปี 2555 ทั้งนี้ เครื่องมือทางการเงินที่มีบทบาทมากที่สุดในตลาด Green Finance คือ การระดมทุนผ่านการออกพันธบัตร (Green Bond) ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดราว 90% โดยมีจีนและสหรัฐฯ ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 14% และ 12% ตามลำดับ ขณะที่ในส่วนของการให้สินเชื่อ (Green Loan) กว่าครึ่งหนึ่งกระจุกอยู่ที่ยุโรป นอกเหนือจากนี้ ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ เช่น การออกตราสารทุน (Green Equity) เป็นต้น เป็นที่คาดว่าตลาด Green Finance ทั่วโลกจะเติบโตอีกมากและมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เนื่องจากนโยบายภาครัฐในหลายประเทศต่างหันมาส่งเสริมตลาด Green Finance อย่างเป็นรูปธรรม เช่น โปรแกรม Carbon Emission Reduction Facility (CERF) ของจีนที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่สถาบันการเงินที่ 1.75% สำหรับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โปรแกรม Climate Lending Facility ของญี่ปุ่น ซึ่ง Bank of Japan จะให้เงินกู้แก่สถาบันการเงินสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษแก่ภาคธุรกิจต่อ ซึ่งนับเป็นการจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ เร่งปรับโมเดลธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อจะได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้อีกทางหนึ่ง

ปรากฏการณ์ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับภูมิทัศน์ทางธุรกิจของโลกที่มุ่งสู่การใส่ใจและช่วยกันปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทยเองก็ตระหนักดีถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โดยหันมาปรับกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลภายใต้ BCG Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) โดยตั้งเป้าภายในปี 2569 จะเพิ่มเม็ดเงินจาก BCG Economy อีก 1 ล้านล้านบาท สร้างการจ้างงานอีก 3.5 ล้านราย รวมถึงลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมลง 50% ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำแนวคิดหรือรูปแบบของ BCG มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตน โดยเร่งปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคหัวใจสีเขียว การปรับธุรกิจให้สอดรับกับมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินสีเขียว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสใหม่ ๆ ที่รออยู่ พร้อมไปกับการเป็นหนึ่งในกลไกที่สามารถช่วยสร้างโลกให้ดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย

Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนมีนาคม 2566

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ