ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ไม่เพียงประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว อุณหภูมิทางเศรษฐกิจและการเงินโลกก็ดูจะร้อนระอุไม่แพ้กัน หลังเกิดปัญหาสภาพคล่องในภาคธนาคารสหรัฐฯ จนนำไปสู่การปิดธนาคาร 3 แห่ง ทั้ง Silvergate Bank, Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank ไม่เพียงเท่านี้ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นของภาคธนาคารในยุโรป จนทำให้เกิดดีลคลุมถุงชนที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์จำเป็นต้องจัดการให้ธนาคาร UBS เข้าซื้อกิจการของ Credit Suisse เพื่อห้ามเลือดไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลายจนอาจกลายเป็นวิกฤตการเงินครั้งใหม่
แม้ปัจจุบันปัญหาข้างต้นจะคลี่คลายไปได้เปลาะหนึ่งหลังจากทางการของทั้ง 2 ประเทศยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวยังได้สร้างแรงกระเพื่อมและก่อให้เกิดความท้าทายใน 3 มิติที่น่าสนใจ ดังนี้
- เกิดความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงิน ผ่านมาแล้ว 1 ปีเต็มกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงถึง 9 ครั้ง สู่ระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ที่ 4.75-5% โดยหวังว่าจะเป็นยาแรงในการกดเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ผ่านกำลังซื้อและตลาดแรงงาน แต่ที่ผ่านมาดูจะเห็นผลช้ากว่าที่คาด สังเกตได้จากค่าจ้างแรงงานที่ยังขยายตัวเฉลี่ยกว่า 5% ต่อเดือน ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา และอัตราว่างงานที่ยังอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปีที่ 3.5% แต่ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะกลายเป็นคลื่นใต้น้ำที่มากระทบภาคธนาคารมากกว่า เห็นได้จากการปิดตัวของธนาคารบางแห่งที่มีการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินผิดพลาด จนเกิดวิกฤตศรัทธาในภาคธนาคารขณะนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า Fed กำลังเผชิญสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกในการบรรลุ Triple Objectives ทั้ง Price Stability, Economic Stability และ Financial Stability ในเวลาเดียวกัน ล่าสุดดูเหมือน Fed จำเป็นต้องผ่อนคันเร่งในการบรรลุเป้าหมาย Price Stability ลงด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด จากก่อนหน้าที่ตลาดคาดว่าจะขึ้นถึง 0.5% หลังเป้าหมาย Financial Stability เริ่มสั่นคลอน สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายของ Fed ในการ Balance เป้าหมายทั้ง 3 ประการ เพื่อให้เศรษฐกิจในภาพรวมเดินต่อไปได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้น
- เกิดการเปลี่ยนมือของ Safe Haven วิกฤตธนาคารที่เกิดขึ้นเหมือนกดปุ่ม Risk off ให้กับสินทรัพย์เสี่ยง และเปิดโหมด Risk on ให้กับสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อีกครั้ง แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือ Movement ของเงินทุนเคลื่อนย้ายในการไหลเข้า Safe Haven ที่เปลี่ยนไป โดยปี 2565 ที่โลกเผชิญกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความกังวล Recession ตลอดทั้งปี สินทรัพย์ที่เป็นหลุมหลบภัยหลักดูจะเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐมากกว่าทองคำ สะท้อนได้จาก Dollar Index ที่ไต่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 20 ปีที่กว่า 114 ในเดือนกันยายน 2565 โดยทั้งปี 2565 แข็งค่าเฉลี่ยถึง 13% (y-o-y) เทียบกับราคาทองคำที่เพิ่มเพียง 0.1% แต่หลังเกิดปัญหาภาคธนาคารสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2566 ดูเหมือนว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะเสียคะแนนนิยมให้กับทองคำมากขึ้น เห็นได้จากราคาทองคำที่ขึ้นไปทะลุ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นราว 10% จากต้นปี 2566 สวนทางกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าเกือบ 2% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าเงินทุนยังไหลเข้าสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Cryptocurrency โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ราคาวิ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 10 เดือนที่กว่า 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ล่าสุด Correlation ระหว่างทองคำกับ Bitcoin ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 90% นี่อาจเพิ่มน้ำหนักให้สมมติฐานที่ว่า Bitcoin อาจมีโอกาสเป็น Digital Gold มากขึ้นก็เป็นได้
- เกิด After Shock ในภาคธนาคาร แม้ทางการสหรัฐฯ จะประกาศคุ้มครองเงินฝาก 100% ผ่านสถาบันคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐฯ หรือ FDIC จนหลายฝ่ายกังวลว่าการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ที่ทำให้ธนาคารและผู้ฝากเงิน Take Risk มากขึ้น จนนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะสั้นดูจะยังไม่น่ากังวลเท่า After Shock ที่กดดันภาคการเงินสหรัฐฯ ต่อเนื่อง สะท้อนได้จาก Bloomberg US Financial Condition Index ในเดือนมีนาคม 2566 ที่ยังตึงตัว ยิ่งไปกว่านั้น Inverted Yield Curve ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนานกว่า 9 เดือน ไม่เพียงสะท้อนความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ Recession ในระยะถัดไป แต่ยังกดดัน Margin ของธนาคารให้แคบลงจากต้นทุนเงินฝากระยะสั้นที่สูงขึ้นมากกว่ารายรับจากดอกเบี้ยระยะยาวที่ได้จากการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่อย่างอสังหาริมทรัพย์ สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายที่กำลังก่อตัวขึ้นเป็นความเสี่ยงที่อาจกระทบชิ่งถึงภาคเศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯ ก็เป็นได้
- ท่ามกลางความไม่แน่นอนในภาคการเงินที่น่าจะยังอยู่ไปอีกระยะ ผู้ประกอบการไทยต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พร้อมที่จะ ?กล้า? มองหาโอกาสที่ซ่อนตัวอยู่ในวิกฤต ขณะเดียวกันก็ต้อง ?กลัว? อย่างมีสติและเตรียมเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้ครบมือเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจให้ได้อย่างทันท่วงที
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนเมษายน 2566