นับตั้งแต่ต้นปี 2566 แทบไม่มีวันไหนเลยที่คลื่นลมเศรษฐกิจโลกจะสงบ มีเหตุการณ์ให้ว้าวุ่นแทบทุกวันไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และภัยธรรมชาติที่เร่งตัวขึ้น ล้วนกดดันบรรยากาศการค้าโลก และกระทบต่อเนื่องมาถึงการส่งออกของไทย สังเกตได้จากมูลค่าส่งออกรวมในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 ที่หดตัว 3.8%
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวร้ายก็ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออกของ SMEs ไทยที่ขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดดสวนทางกับการส่งออกรวม ล่าสุดการส่งออกของ SMEs 8 เดือนแรกปี 2566 ขยายตัวสูงถึง 26.2% ขยายตัว 8 เดือนติดต่อกัน ผลักดันให้สัดส่วนมูลค่าส่งออก SMEs ต่อการส่งออกรวมเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ 13.5% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของ SMEs ต่อการส่งออกของไทยที่เริ่มมีมากขึ้น และทำให้ความหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวให้ทะลุ 20% ตามเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 อาจไม่ไกลเกินเอื้อม
ถึงตอนนี้ หลายท่านอาจมีคำถามในใจขึ้นว่าสินค้าส่งออก SMEs ไทยมีอะไรดี ทำไมถึงยังโตได้ท่ามกลางคลื่นลมเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ทั้งนี้ จากข้อมูลการส่งออกของ SMEs ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้เผยให้เห็นถึง Characters บางอย่างที่น่าสนใจของสินค้า SMEs ไทยที่สามารถนำมาต่อยอดได้ใน 3 มิติ ซึ่งสามารถอธิบายผ่านตัวอักษร S-M-E ดังนี้
- Soft Power หากพิจารณากลุ่มสินค้า SMEs ที่ขยายตัวได้โดดเด่น กลุ่มแรก คือสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 ขยายตัวได้ถึง 16.6% และ 12.5% ตามลำดับ สินค้ากลุ่มนี้ไม่เพียงมีแรงต้านทานสูงต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง เพราะเป็นสินค้าจำเป็น แต่เป็นสินค้าที่สะท้อน Soft Power หรืออัตลักษณ์ความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือผลไม้ไทยเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ สะท้อนได้จากการส่งออกผลไม้สดที่ขยายตัว 18.5% โดยเฉพาะทุเรียนที่ถือเป็น Role Model ในการเชื่อมต่อการส่งออกกับการท่องเที่ยว สังเกตได้จากการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนเมื่อ 10 ปีก่อน ที่มีสัดส่วนไม่ถึง 50% ของการส่งออกทุเรียนรวม แต่หลังจากนั้นสัดส่วนดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทิศทางเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีน จนล่าสุดตลาดจีนมีสัดส่วนกว่า 90% ของการส่งออกทุเรียนไทย พูดง่าย ๆ คือคนจีนได้ลองแล้วติดใจ แม้ในช่วง COVID-19 ที่ตัวไม่ได้มา ก็อดใจไม่ได้ที่ต้องนำเข้าไปรับประทาน เช่นเดียวกันกับการส่งออกเครื่องปรุงรสที่ขยายตัวได้ถึง 11.7% ตามความนิยมอาหารไทยที่เพิ่มขึ้นทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ อีกหนึ่งสินค้า SMEs ที่น่าสนใจคืออัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัวได้ถึง 35% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินค้า Soft Power ศักยภาพที่สามารถสะท้อนศิลปวัฒนธรรมและเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวได้ดีไม่ต่างจากสินค้าเกษตรข้างต้น หลังเกิดกระแสนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยนิยมใส่ชุดไทยกับเครื่องประดับไทยถ่ายรูปกับโบราณสถานลง Social Media
- Modern Supply Chain ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ไหลเข้าไทยต่อเนื่องโตเฉลี่ยราว 7% ต่อปี ไม่เพียงช่วยผลักดันให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตระดับโลกในหลายอุตสาหกรรม แต่ยังสร้าง Spillover Effect ไปยัง SMEs ไทยจำนวนไม่น้อยที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว ผ่านการเป็น Supplier หรือกระทั่งเป็นผู้รับจ้างผลิตในขั้นตอนต่าง ๆ จนสามารถพัฒนาสินค้าตนเองให้ได้มาตรฐาน สร้างโอกาสส่งออกเพิ่มเติมไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ สังเกตได้จากล่าสุดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของ SMEs ไทยช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 ขยายตัวได้ถึง 44% โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่เกาะไปกับกระแสดิจิทัลและ Urbanization ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า ยานยนต์ อุปกรณ์เกี่ยวกับโทรศัพท์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ กล้องถ่ายรูป เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจสะท้อนได้ว่า SMEs ไทยก็ไม่ได้ตกขบวนเทรนด์ดิจิทัลของโลกไปทั้งหมด ยิ่งไปกว่านี้ การที่หลายประเทศในอาเซียนรวมถึงไทยที่ไม่ได้เป็นประเทศคู่ขัดแย้งท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เร่งตัวขึ้น ก็ช่วยเพิ่มโอกาสให้ SMEs ไทยรายอื่น ๆ มีโอกาสแทรกตัวเข้าไปใน Supply Chain ของ Future Industry ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น ล่าสุดยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 โตถึง 31% โดยมีเม็ดเงินในอุตสาหกรรมเป้าหมายคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม
- Eco-Friendly แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีการเก็บข้อมูลการส่งออกสินค้า Green อย่างชัดเจน แต่จากการสังเกตข้อมูลการส่งออกบางส่วนก็สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในหลายสินค้าที่หาก SMEs ไทยปรับตัวได้เร็วก็จะช่วยสร้างแต้มต่อได้ไม่ยาก ที่เห็นได้ชัดคือการส่งออกอุปกรณ์ Solar Cells ของ SMEs ไทยที่โตต่อเนื่องตามการใช้พลังงานทดแทนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสินค้าส่งออก Top 10 ของ SMEs ที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อไม่ให้ตกขบวน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ต้องหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องเตรียมรับกับกฎระเบียบสินค้าปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของยุโรป หรือแม้แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อที่ต้องเร่งพัฒนาสินค้าให้ตอบกระแสรถยนต์ EV ที่กำลังมาแรง อย่างยางล้อ EV แพงว่ายางปกติถึง 1-2 เท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้ การ Go Green แม้จะเพิ่มต้นทุนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว SMEs จะได้ประโยชน์ในหลายด้าน ทั้งตลาดที่กว้างขึ้น Margin ที่สูงขึ้น การเข้าถึงเงินทุนง่ายขึ้นและถูกลง โดยผลสำรวจของ Moore Global บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกชี้ว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและ ESG จะมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 9.1% ต่อปีมากกว่าบริษัทที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ซึ่งอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 3.7% ต่อปีเท่านั้น
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งและโอกาสที่ยังเปิดกว้างสำหรับ SMEs ในการนำ ?ของดี? ของไทยไปอวดสายตาชาวโลก ซึ่งในที่สุดแล้วจะช่วยเพิ่มบทบาทของผู้ส่งออก SMEs ให้กลายมาเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดันให้การส่งออกของไทยเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนพฤศจิกายน 2566