Share โลกเศรษฐกิจ: ปี 2024 กับ 4 ปรากฎการณ์แห่งปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 5, 2024 15:41 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

หากย้อนกลับไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คงเป็นช่วงเวลาที่ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ Black Swan หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ COVID-19 สงครามรัสเซียกับยูเครน สงครามอิสราเอลกับฮามาส ตลอดจนปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในจีน และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นรุนแรงในหลายประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอยู่เป็นระยะ สะท้อนได้จาก GDP และการค้าโลกเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2566) ที่โตเพียง 2.6% และ 2.0% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนหน้า (ปี 2557-2561) ที่โตถึง 3.5% และ 3.7% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ในปี 2567 หรือปี ค.ศ. 2024 ก็เช่นกัน แม้ยังไม่มีใครทราบว่าจะเกิด Black Swan อีกหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ในปีนี้กำลังจะเกิด 4 ปรากฏการณ์สำคัญที่อาจส่งแรงกระเพื่อมต่อโลกในหลายมิติ ดังนี้

  • ปีแห่ง ?การเลือกตั้ง? ปีนี้เป็นปีที่ทั่วโลกจะมีการเลือกตั้งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในกว่า 50 ประเทศ ครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะประเทศที่มี Impact ต่อการเมืองและเศรษฐกิจโลกสูง ไล่เรียงไปตั้งแต่การเลือกตั้งไต้หวันในช่วงกลางเดือน ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ประธานาธิบดีคนใหม่แต่ขั้วเดิมที่ยังมีนโยบายเอียงมาทางสหรัฐฯ ทำให้ความตึงเครียดระหว่างไต้หวันกับจีนยังมีต่อไป ขณะที่หากความขัดแย้งรุนแรงขึ้นก็คงต้องจับตามองผลกระทบที่มีต่อห่วงโซ่อุปทานชิปของโลกที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะไต้หวันถือเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลกมีสัดส่วนกว่า 60% และที่เพิ่งจบไป คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียในช่วงกลางเดือน ก.พ. 2567 โดยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า นายปราโบโว ซูเบียนโต คว้าชัยชนะ และได้รับการตอบรับจากตลาดเงินตลาดทุนเป็นอย่างดี หลังประกาศจะสานต่อนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง การสร้างห่วงโซ่อุปทานรถไฟฟ้า เป็นต้น และการเลือกตั้งในอินเดีย (พ.ค. 2567) ก็เป็นที่น่าจับตาเพราะเป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุดอันดับ 1 ของโลก และมีเศรษฐกิจโตกว่า 6% สูงสุดในกลุ่ม G20 ซึ่งหากได้ขั้วอำนาจเดิม ก็จะหนุนความต่อเนื่องของนโยบาย ผลักดันให้อินเดียยังเป็น Rising Star ต่อไป ขณะเดียวกัน ยังต้องติดตามการเลือกตั้งในรัสเซีย (มี.ค. 2567) แม้หลายฝ่ายคาดว่าปูตินจะได้รับชัยชนะ แต่ก็ต้องติดตามนโยบายเกี่ยวเนื่องกับสงครามยูเครน ซึ่งหากขยายวงกว้างก็อาจกระทบราคาสินค้าโภคภัณฑ์อีกครั้ง และการเลือกตั้งสภายุโรป (มิ.ย. 2567) ที่ต้องจับตามองคะแนนนิยมของฝ่ายขวาจัด (ต้องการปฏิรูปนโยบายเดิม) หากได้รับเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อาทิ นโยบายผู้อพยพ ประเด็นสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และ Highlight การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 คือสหรัฐฯ (พ.ย. 2567) ที่จะเป็นตัวแปรหลักกำหนดสถานการณ์ Decoupling โลก โดยเฉพาะท่าทีผู้นำคนใหม่ที่มีต่อขั้วฝั่งตรงข้ามอย่างจีนและรัสเซีย รวมถึงจุดยืนต่อสงครามการค้าที่จะมีผลต่อบรรยากาศการค้าโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
  • ปีแห่ง ?การกลับทิศอัตราดอกเบี้ย? ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางหลายแห่งมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ในปี 2567 การที่เงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มชะลอลง โดย IMF คาดว่าเงินเฟ้อโลกปี 2567 จะอยู่ที่ 5.8% ชะลอลงจาก 8.7% ในปี 2565 โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงเหลือ 3% เข้าใกล้กรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ 2% ทำให้ล่าสุด Bank of America คาดว่า ปี 2567 ธนาคารกลางทั่วโลกจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมกันถึง 152 ครั้ง หลัง 2 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นแล้วกว่า 300 ครั้ง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งมักเป็น Leading Indicator ในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินโลก โดยตลาดคาดว่า Fed มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ม.ค. 2567 ออกมา 3.1% ลดลงจากที่เคยพุ่งสูงกว่า 9% ในช่วงปี 2565 อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าทุกธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่คง และบางส่วนที่มีแนวโน้มปรับขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางญี่ปุ่น ที่หลายฝ่ายคาดว่า อาจยุติอัตราดอกเบี้ยติดลบที่ใช้มานานกว่า 8 ปี หลังเงินเฟ้อญี่ปุ่นกลับมาเป็นบวก 2 ปีติดต่อกัน ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นส่งสัญญาณหลุดจาก Lost Decades ทั้งนี้ นโยบายการเงินที่ผสมผสานดังกล่าว จะส่งผลให้ค่าเงินทั่วโลกปีนี้ผันผวนต่อเนื่อง เช่นเดียวกับปีก่อนที่เงินบาทผันผวนกว่า 13% สูงอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค

  • ปีแห่ง ?Climate in Action? ปี 2567 นอกจาก The EU's Copernicus Climate Change Service คาดว่าจะเป็นปีที่อุณหภูมิโลกอาจทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2566 แล้ว ยังเป็นปีที่หลายมาตรการสิ่งแวดล้อมสำคัญของโลกจะบังคับให้ผู้นำเข้าสินค้าต้องรายงานข้อมูล โดยเริ่มบังคับใช้เต็มปีเป็นครั้งแรก ทั้งมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) และกฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ของยุโรป ตลอดจนกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะผ่านในปีนี้และมีผลบังคับทันที นอกจากนี้ ยังมีมาตรการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น EU?s Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ที่เริ่มบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ใน EU ต้องรายงานข้อมูลความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างละเอียด โดยบังคับให้มี Third Party ตรวจสอบ อีกทั้งยังมีสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีกฉบับที่อาจแล้วเสร็จในปีนี้ โดยเบื้องต้น 175 ประเทศตกลงกันลดปริมาณพลาสติกลง 80% ภายในปี 2583 หรืออาจกล่าวได้ว่า ปีนี้เป็น ?ปีแห่งการลงมือทำ? และต้องรายงานผลจริงจัง หลังหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพียง ?ปีแห่งสัญญา? ที่ทั่วโลกตั้งเป้าบรรลุ Net Zero เท่านั้น
  • ปีแห่ง ?Responsible AI? ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดคงหนีไม่พ้น Generative AI ที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จากข้อมูลเดิมได้หลากหลายขึ้น โดยความนิยมใช้เทคโนโลยี GenAI อาจสะท้อนจากดัชนีราคาหุ้น NASDAQ (หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ซึ่งหลายตัวเกี่ยวข้องกับ AI) ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 40% สูงที่สุดในโลก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลายท่านอาจได้ทดลองใช้ GenAI กันบ้างแล้วผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาทิ ChatGPT, Bing AI, Bard เป็นต้น เพื่อช่วยคิดไอเดียในการทำงาน ขณะที่ภาคธุรกิจก็เริ่มนำ AI มาใช้วิเคราะห์หา Insight หรือบริหาร Supply Chain มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ GenAI จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหลายด้าน แต่ก็แฝงมาด้วยภัยคุกคามเช่นกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Deepfake ที่ใช้ GenAI สร้างวิดีโอ ภาพ และเสียงบิดเบือนข้อมูล ซึ่งการที่ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกตั้งทำให้หลายฝ่ายคาดว่าจะมี Deepfake สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้อีกมุมหนึ่งในปี 2567 จะเห็นทั่วโลกตื่นตัวกับการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) มากขึ้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นในภาคการเงิน (Responsible Finance) ล่าสุด EU ก็ได้ผ่าน EU AI Act เป็นครั้งแรกของโลก ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร เข้ามาควบคุม AI แล้ว ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการไทยจะเริ่มใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าก็ต้องระวังเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้น เพราะถึงแม้จะยังไม่มีกฎหมายควบคุม AI แต่ก็มี พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่บังคับใช้แล้วตั้งแต่ มิ.ย. 2565

4 ปรากฏการณ์แห่งปี 2024 ข้างต้น ไม่เพียงส่งแรงกระเพื่อมต่อทิศทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนโลก ยังจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการ ควรเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ควบคู่กับหมั่นทบทวนและปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น รวมถึง อาจสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจหากสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าคู่แข่ง ทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างราบรื่นท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง

Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2567


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ