ส่องเทรนด์โลก: จับสัญญาณความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์...ความเสี่ยงที่ผู้ส่งออกต้องพร้อมรับมือ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 8, 2024 13:50 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

การส่งออกของไทยกลับมาขยายตัวได้ราว 0.3% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 จากที่หดตัว -3.5% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ โดย UN Trade and Development (UNCTAD) ได้ติดตามสถานการณ์และพบว่า การค้าโลกไตรมาส 1 ปี 2567 ขยายตัวราว 1% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มเป็น 2% ในไตรมาส 2 ขณะที่ทิศทางการค้าโลกทั้งปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวหลังจากในปีที่ผ่านมาหดตัวลง 3% อย่างไรก็ตาม บริบทโลกในปัจจุบันทำให้แนวโน้มการค้าโลกบิดเบี้ยวไปจากอดีต จากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกและนำมาซึ่งความผันผวนโดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่เป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ตลอดจนทิศทางการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องพร้อมรับมือ โดยปัญหา Geopolitics ที่ยังคงต้องติดตาม มีดังนี้

ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน กับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ Trade War II

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทั่วโลกต่างจับตามอง เนื่องจากหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดี แนวนโยบายของนายทรัมป์จะส่งผลกระทบหลากหลายต่อการค้าโลก ซึ่งหากจะย้อนเหตุการณ์ดังกล่าว ก็คงต้องกล่าวถึง Trade War จนถึง Tech War ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรูปแบบ Supply Chain โลก ไปจนถึงการส่งออกของประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย โดยในช่วงเวลานั้นไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ก็ส่งออกไปจีนลดลง ขณะที่การค้าโลกก็ซบเซาจาก Trade War ระหว่างทั้งสองประเทศ ทำให้การส่งออกไทยในปี 2562 หดตัว 2.6%

สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ นายทรัมป์กล่าวไว้ในช่วงหาเสียงว่า จะขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ 10% หลังจากในช่วงที่ผ่านมาจีนแก้เกม Trade War ด้วยการกระจายฐานการผลิตของตนออกไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ดังนั้น หากนายทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีก็จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนี้ ไทยยังมีความเสี่ยงที่จะโดนมาตรการตอบโต้จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีการลงทุนของจีนในไทย

สงครามระหว่างอิสราเอลกับคู่กรณี?ความขัดแย้งที่มีผลต่อเงินเฟ้อโลก

สถานการณ์สงครามของอิสราเอลนั้นได้ขยายวงไปรอบด้านทั้งกับกลุ่มฮามาส กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งแม้อิสราเอลจะมีศักยภาพทางการทหารที่เหนือกว่าคู่กรณี แต่ท่าทีของอิสราเอลที่แข็งกร้าวในปัจจุบันและเน้นปฏิบัติการทางทหารรุกโจมตีคู่กรณี โดยเฉพาะกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่อิหร่านซึ่งเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มดังกล่าว จะตอบโต้คืน ซึ่งแม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าสถานการณ์จะไม่พัฒนาจนกลายเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่อาจวางใจ เพราะในปัจจุบันสถานการณ์ในภูมิภาคดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญอย่างช่องแคบ Bab-El-Mandeb และคลองสุเอซ ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักสำหรับเดินเรือขนส่งสินค้าจากเอเชียไปยังยุโรป เนื่องจากเรือขนส่งสินค้าส่วนหนึ่งเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว โดยการเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกา ส่งผลกระทบต่อค่าระวางเรือ นอกจากนี้ ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางมีผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งค่าระวางเรือและราคาน้ำมันล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อเงินเฟ้อโลก ดังนั้น หากสงครามของอิสราเอลกับคู่ขัดแย้งยกระดับขึ้น โดยเฉพาะกรณีอิหร่านเข้ามาทำสงครามด้วย ก็จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อโลกอย่างมีนัยสำคัญและจะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกสะดุดลงได้อีกครั้ง

นอกจากปัญหา Geopolitics ที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อมาราว 30 เดือน ไปจนถึงปัญหา Geopolitics ใกล้ตัวอย่างความขัดแย้งในเมียนมาซึ่งนับเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าใกล้ชิดกับไทย โดยทั้ง 2 กรณียังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน

แนวทางการรับมือความเสี่ยง Geopolitics

ผู้ประกอบการควรต้องเตรียมพร้อมรับกับความเสี่ยง Geopolitics ดังกล่าว โดยอาจเริ่มจากการทำ (1) Scenario Planning สร้างสถานการณ์จำลองที่อาจเกิดขึ้นและวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเตรียมตัวรับมือโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข (2) การกระจายตลาดส่งออก เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในบางภูมิภาค (3) การสร้าง Supply Chain Resilience หรือความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การเพิ่มความหลากหลายของ Suppliers การรักษาสินค้าคงคลังเพื่อเป็น Buffer จากความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น และการเตรียมเส้นทางขนส่งทางเลือก เป็นต้น และสุดท้าย (4) การป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร

EXIM BANK พร้อมเคียงข้างผู้ส่งออกในทุกสถานการณ์ โดยได้เตรียมเครื่องมือไว้ให้ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นบริการประกันการส่งออก ประกันการลงทุน รวมถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อาทิ Foreign Exchange Forward Contract เพื่อที่ผู้ประกอบการจะไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ

Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนกันยายน 2567


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ