Share โลกเศรษฐกิจ: การนำเข้า...พระเอกหรือผู้ร้าย?

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 3, 2025 14:12 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

หนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจคงหนีไม่พ้นเรื่องสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาตีตลาดไทยผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า จะยิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบางอยู่แล้วหลัง COVID-19 เห็นได้จากตัวเลข NPLs ของ SMEs ไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 8% สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส

ทั้งนี้ หากพิจารณาการนำเข้าสินค้าของไทยในภาพรวมจะพบความน่าสนใจในหลายแง่มุม ผ่านคำถามต่าง ๆ ดังนี้

  • นำเข้าเยอะ ๆ ไม่ดีต่อเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ในเบื้องต้นก็อาจจะจริง เพราะการนำเข้าคือ การที่ต้องเสียเงินซื้อสินค้าให้กับผู้ขายในต่างประเทศ แทนที่จะอุดหนุนสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น หากช่วงเวลาใดประเทศมีการนำเข้ามากกว่าการส่งออกก็จะทำให้ขาดดุลการค้า ซึ่งสุดท้ายแล้วจะมีส่วนทำให้ GDP ลดลง หรือหากมีการขาดดุลการค้าเรื้อรังก็อาจกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าไม่ได้มีเพียงผลกระทบในเชิงลบเท่านั้น คงต้องพิจารณาด้วยว่า มีการนำเข้าสินค้าอะไรมากน้อยเพียงใด แต่ในเบื้องต้นหากดูสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วง 26 ปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ไทยยังเกินดุลการค้ามากถึง 18 ปี
  • ที่ผ่านมาไทยนำเข้าอะไรบ้าง หากพูดถึงการนำเข้า คนทั่วไปมักจะนึกถึงการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องประดับ รถยนต์ เป็นต้น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากถูกนำมาใช้เพื่อการบริโภคส่วนตัว สนอง ?ความอยาก? เป็นส่วนใหญ่ โดยสินค้าเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของการนำเข้ารวม ซึ่งอาจสะท้อนได้ระดับหนึ่งว่า ภาคการผลิตของไทยสามารถตอบสนองความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานในประเทศได้ค่อนข้างดี ทำให้ไม่ต้องนำเข้ามาก สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่ยังต้องนำเข้าสินค้าเหล่านี้สูง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสถิติย้อนหลัง จะพบว่า สัดส่วนการนำเข้าสินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเพียง 10% ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งมาอยู่ที่ 17% ในปี 2566 สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงสะท้อนถึงสังคมบริโภคนิยมของคนไทยที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งมีส่วนผลักดันให้หนี้ครัวเรือนแตะ 90% ต่อ GDP ในปัจจุบัน แต่อาจสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยที่ลดลง ผลิตสินค้าได้โดนใจผู้บริโภคน้อยลง หรือเริ่มเผชิญกับการแข่งขันจากต่างประเทศที่รุนแรงขึ้นทั้งด้านคุณภาพและราคา โดยเฉพาะจีนที่มาแรงแซงญี่ปุ่นกลายมาเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทยตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและยานพาหนะที่ไทยนำเข้าจากจีนสูงถึงกว่า 37%
  • แล้วที่เหลือไทยนำเข้าอะไรอีกบ้าง อีกกว่า 4 ใน 5 ของการนำเข้าที่เหลือเป็นการนำเข้าสินค้าเพราะ ?ความจำเป็น? เนื่องจากไทยมีทรัพยากร หรือปัจจัยการผลิตที่ยังไม่เพียงพอ ไล่เรียงไปตั้งแต่การนำเข้าสินค้าพลังงานโดยเฉพาะเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ไทยมีทรัพยากรไม่เพียงพอ โดยที่ผ่านมาสัดส่วนสินค้าหมวดนี้ก็ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไม่ถึง 10% หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง มาอยู่ที่ 18% ในปัจจุบัน สะท้อนได้ส่วนหนึ่งว่า การใช้พลังงานฟอสซิลของไทยยังไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากไทยตั้งเป้าจะบรรลุ Net Zero ในปี 2608 คงต้องช่วยกันอีกมาก นอกจากนี้ การนำเข้าที่เหลืออีกกว่า 3 ใน 5 จะเป็นการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ/สินค้ากึ่งสำเร็จรูป ซึ่งถือเป็นหมวดใหญ่ที่สุดและมีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการผลิต การลงทุน และการส่งออก
  • ไทยนำเข้าสินค้าทุนกับวัตถุดิบเยอะ แต่ทำไมเศรษฐกิจไม่ค่อยโต แม้ปัจจุบันการนำเข้าสินค้าหมวดดังกล่าวจะมีสัดส่วนใหญ่ที่สุด แต่หากเทียบกับในอดีตแล้ว สัดส่วนนี้กลับมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จากเกือบ 80% ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งมาอยู่ที่ราว 63% ในปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับสัดส่วนการลงทุนรวมต่อ GDP ที่ลดลงต่อเนื่องจาก 40% ในช่วงก่อนต้มยำกุ้งมาอยู่ที่เพียง 23% เช่นเดียวกับดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มหดตัวในปี 2567 สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลให้หลายฝ่ายอย่างมาก เพราะการลงทุนถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้าง Multiplier Effect ให้กับเศรษฐกิจในหลายมิติ หากการลงทุนไม่เดิน เครื่องยนต์ตัวอื่นก็ไปต่อได้ยาก

จะเห็นได้ว่า การนำเข้าเป็นได้ทั้งพระเอกและผู้ร้าย ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าว่าเป็นสินค้านำเข้าเพื่อตอบสนอง ?ความอยาก? ในการบริโภคเพียงอย่างเดียว หรือนำเข้าสินค้าจาก ?ความจำเป็น? อย่างสินค้าทุนและวัตถุดิบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การส่งออกและลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยให้ไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะถัดไปได้อีกด้วย

Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนธันวาคม 2567


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ