ข้อมูลที่เกี่ยวข้องของตลาดสินค้าอาหารในจีน
จำนวนผู้บริโภค : 1,300 ล้านคน
รายได้เฉลี่ยต่อหัว : 2,105 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
มูลค่าตลาดขายปลีกในปี 2552
สินค้าอาหาร : 2,550.47 พันล้านหยวน
อาหารพร้อมรับประทาน : 53.06 พันล้านหยวน
ทำไมจีนจึงน่าสนใจ
- เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ด้วยจำนวนประชากรมากถึง 1,300 ล้านคนหรือราวร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรโลก
- ประชากรจีนมีรายได้ที่ใช้จ่ายได้ (Disposable Income) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี ในช่วงปี 2548-2552 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น(อย่างต่อเนื่อง)
- GDP ของจีน ขยายตัวถึงร้อยละ 8.7 ในปี 2552 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก
รูปแบบการดำเนินชีวิตแบบใหม่ ... ปัจจัยกำหนดความต้องการบริโภคที่ต้องจับตามอง
จีนเป็นตลาดที่ดึงดูดใจผู้ส่งออกสินค้าอาหารจากทั่วโลก ด้วยจำนวนประชากรที่มากถึง 1 ใน 5 ของโลก อีกทั้ง(เศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัวท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ความต้องการบริโภคอาหารของชาวจีนยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทานเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวจีนและการพัฒนาระบบการค้าปลีกที่เปลี่ยนแปลงไปดังนี้
- รูปแบบการดำเนินชีวิตของชาวจีนในเมืองใหญ่มีความเร่งรีบมากขึ้น อันเป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเมืองสำคัญ อาทิ ปักกิ่ง เซียงไฮ้ และกวางโจว ขณะที่กลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มนักศึกษามีการแยกตัวออกมาจากครอบครัวมากขึ้น(ทำให้ความต้องการอาหารพร้อมบริโภคและอาหารที่สามารถเก็บได้นานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต ส่งผลให้มีช่องทางเพิ่มขึ้นในการจำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรง ประกอบกับร้านค้าปลีกสมัยใหม่ดังกล่าวเน้นจำหน่ายสินค้าอาหารด้วยการเน้นมาตรฐานในการรักษาความเย็นในตู้แช่เย็นแช่แข็ง อีกทั้งมีระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งสินค้าอาหารแบบ Cold Chain ทำให้สินค้ามีคุณภาพและช่วยให้อาหารแช่เย็นแช่แข็งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ด้วย
"...“ชีวิตที่เร่งรีบมากขึ้นของชาวจีน ทำให้ความต้องการอาหารพร้อมรับประทานเพิ่มขึ้น...”
- การขยายตัวของครัวเรือนที่มีตู้เย็น เป็นผลจากรายได้ของครอบครัวชาวจีนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื้องตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยในปี 2552 ซึ่งรัฐบาลจีนมีมาตรการอุดหนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า พบว่าตู้เย็นเป็นสินค้าที่ชาวจีนซื้อมากที่สุด
โครงสร้างตลาดอาหารพร้อมรับประทานของจีน : อาหารแห้งครองส่วนแบ่งตลาดนำลิ่ว
- อาหารแห้งพร้อมรับประทาน ครองส่วนแบ่งตลาดอาหารพร้อมรับประทานในจีนมากถึงเกือบ 3 ใน 4 โดยมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็น
- อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน ครองส่วนแบ่งตลาดอาหารพร้อมรับประทานในจีนมากเป็นอันดับ 2 ด้วยมูลค่าจำหน่ายที่ขยายตัวถึงร้อยละ 16 ในช่วงปี 2548-2552 จากการขยายตัวของจำนวนครัวเรือนที่ใช้ตู้เย็นและร้านค้าปลีกสมัยใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ทั้งนี้อาหารแช่แข็งที่
- อาหารแช่เย็นพร้อมรับประทาน เป็นสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 15 ในช่วง
"...ลักษณะอาหารดั้งเดิมของจีน อาทิบะหมี่และติ่มซำ ครองส่วนแบ่งตลาดอาหารแห้งและอาหารแช่เข็งพร้อมรับประทาน ขณะที่อิทธิพลของการกินแบบตะวันตกส่งผลชัดเจนในอาหารประเภทแช่เย็นพร้อมรับประทาน..."
- อาหารพร้อมรับประทานบรรจุกระป๋อง มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างน้อย และยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควรในกลุ่มอาหารปรุงสำเร็จทั้งนี้ อาหารประเภทซุปเป็นสินค้าหลักในหมวดอาหารพร้อมรับประทานบรรจุกระป๋อง
โอกาสของผู้ส่งออกไทย : ใช้ประโยชน์จาก FTA ให้มากขึ้น
- ผู้ส่งออกสินค้าอาหารของไทยมีโอกาสเจาะตลาดอาหารพร้อมรับประทานในจีนเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า นอกเหนือจากปัจจุบันที่
ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปจีนในรูปแบบของการป้อนเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารของจีนเป็นหลักเนื่องจากจีนยังมีความต้องการบริโภคเพิ่ม
ขึ้นอีกมากอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ส่งออกสินค้าอาหารของไทยมีจุดแข็งด้านมาตรฐานการผลิต และความปลอดภัยของสินค้า นอกจากนี้ไทยยังได้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งจีนได้ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสัตว์น้ำเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ปี 2547 ขณะที่ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าปลากระป๋องเหลือร้อยละ 5 ตั้งแต่ปี 2552 และลดเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 ทั้งนี้ ในปี 2552 ไทยส่งออกสัตว์น้ำไปจีนเป็นมูลค่า 97.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยราวร้อยละ 60 เป็นการส่งออกปลาแช่เย็นแช่แข็ง อีกร้อยละ 20 เป็นการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ขณะที่การส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปไปจีนยังคงมีมูลค่าเพียง 6.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์จาก
เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน พบว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552 ผู้ส่งออกไทยมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งออกปลาแช่แข็งราวร้อยละ 56 ของมูลค่าส่งออกปลาแช่แข็งไปจีนทั้งหมด กุ้งแช่แข็งใช้สิทธิ์ราวร้อยละ 44 ปลาทูน่ากระป๋องใช้สิทธิ์ราวร้อยละ 46
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กันยายน 2553--