รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศการเตือนภัยเกี่ยวการเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก เมื่อต้นปี 2553 เมื่อเจ้าหน้ากงสุลของสหรัฐฯ ถูกสังหารไป 3 คน ในระหว่างการเดินทางในเมืองชายแดนเมือง Tijuana และได้มีการปรับเปลี่ยนเกี่ยวกับรายละเอียดการเตือนภัยฯ ทุก 90 วัน จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งเมื่อครบ 180 วันแล้ว จะต้องมีการพิจารณาถอนคำเตือนฯ ซึ่งได้มีการประกาศเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก (Travel Warning) ลงวันที่ 10 กันยายน 2553 ในหน้าเวปของกรมกงสุล กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ได้ยกเลิกการงดประจำการของเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ ในเมืองTijuana, Nogales, Ciudad Juarez, Nuevo Laredo, Monterrey และ Matamoros แต่ยังคงรักษาการเตือนเพื่อระงับการเดินทางสำหรับเด็กหรือเยาชนสัญชาติอเมริกันในรัฐ Monterrey เนื่องจากได้มีระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับโรงเรียนอเมริกันในเมืองนั้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา
การเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางสำหรับประเทศเม็กซิโกดังกล่าวข้างต้น ได้มีการกระจายข่าวสารไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย และบริษัทที่จัดทัวร์และขายตั๋วเครื่องบินในประเทศสหรัฐฯทั้งหลาย และได้มีผลให้มีนักท่องเที่ยวอเมริกันหลายคนพิจารณางดการเดินทางหรือเปลี่ยนแผนการเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศอื่น ๆ แทน
เหตุของการเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก มาจากความรุนแรงที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากสงครามปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นนโยบายสำคัญของประธานาธิบดีเม็กซิโก ที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา โดยมีการส่งกองกำลังของทหารไปเสริมการทำงานของตำรวจในท้องที่ ๆ เป็นพื้นที่ ๆ กลุ่มพ่อค้ายาเสพติดควบคุมอยู่ อันได้แก่รัฐ Michoacan และรัฐ Tamaulipas รวมทั้งรัฐข้างเคียง อันได้แก่ รัฐ Chihuahua, Sinaloa, Durango และ Coahuila และตามจุดผ่านชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก
การไล่จับตัวเจ้าพ่อกลุ่มค้ายาเสพติดที่สำคัญๆ ทำให้เกิดการยิงสู้รบกับกลางถนน ระหว่างเจ้าหน้าที่และคนร้าย รวมทั้งระหว่างกลุ่มคนร้ายด้วยกันเอง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคเหนือของเม็กซิโก เช่น ที่เมือง Ciudad Juarez, Tijuana, Chihuahua City, Nogales, Nuevo Laredo, Piedras Negras, Reynosa, Matamoros และ Monterrey ในช่วงหลังๆ การยิงสู้รบกันกลางถนนได้ขยายไปในเขตที่ไม่ได้เป็นถิ่นเดิมของกลุ่มค้ายาเสพติด เช่น ที่รัฐ Nayarit, Jalisco และ Colima
รัฐบาลเม็กซิโกได้ประสบผลสำเร็จบางส่วน โดยการจับตัวหัวหน้ากลุ่มค้ายาเสพติดสำคัญๆ ได้หลายรายแล้ว เช่น The Barbie และ El Chopo จากกลุ่ม Sinaloa Cartel และ El Teo พ่อค้ากัญชาและยาบ้าจากเมือง Tijuana
กลุ่มค้ายาเสพติดของเม็กซิโกได้ขยายอำนาจควบคุมเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1990 เมื่อกลุ่มค้ายาเสพติดของโคลัมเบียมีอำนาจลดลง จากการร่วมปราบปรามโดยความช่วยเหลือของหน่วยงานของสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีกลุ่มลักลอบค้ายาเสพติดในเม็กซิโก ที่ควบคุมเส้นทางการลักลอบขนถ่ายข้ามแดน รวมทั้งควบคุมตลาดการขายยาเสพติดในสหรัฐฯ มีสองฝ่ายใหญ่ ๆ คือฝ่าย Juarez Cartel, Tijuana Cartel, Los Zetas และ Beltran-Leyva Cartel และฝ่ายตรงกันข้ามมีการวมตัวกันของกลุ่ม Gulf Cartel, Sinaloa Cartel และ La Familia Cartel
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประเมินมูลค่าของการค้าโคเคนที่ถูกลักลอบเข้าสหรัฐฯ โดยผ่านเม็กซิโก ว่ามีมูลค่าระหว่าง 1.3 ถึง 4.8 หมื่นล้านเหรียญฯ ต่อปี
ความรุนแรงที่สืบเนื่องมาจากการปราบปรามยาเสพติดที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น เกิดจากการไล่ฆ่าล้างแค้นหัวหน้าเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ระหว่างกลุ่มค้ายาเสพติดกันเอง ได้มีนายกเทศมนตรี ผู้บัญชาการทหาร และหัวหน้าตำรวจสืบสวน ถูกลอบสังหารไปแล้วหลายคน ในการสู้รบที่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากสงครามปราบปรามยาเสพติดได้มีประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเช่นกัน รายงานข่าวของตำรวจเม็กซิโก ได้แจ้งว่า ผู้ที่เสียชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด (ทั้งเจ้าหน้าที่ คนร้ายและประชาชน) ตั้งแต่ปี 2549 มีจำนวนมมากกว่า 23,000 ราย และในเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนกันยายน 2553 ได้มีการค้นพบกองศพการสังหารหมู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่มีศพกองอยู่รวม 76 ศพ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ให้ข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ห้ามการเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก แต่ต้องแจ้งเตือนให้ประชาชนชาวอเมริกันมีความระมัดระวังในการเดินทางไปยังรัฐบางแห่งในเม็กซิโก รวมทั้งในบริเวณชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในพื้นที่อื่น ๆ ในเม็กซิโกจะมีสภาวะปกติที่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนใหญ่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มักจะไม่เป็นพื้นที่เป้าหมายของความรุนแรง ยกเว้น เมือง Cancun ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของนักเรียนนักศึกษาอเมริกัน แต่เป็นเส้นทางผ่านของการลักลอบขนยาเสพ9bf และได้มีการสังหารนายทหารที่ควบคุมการกวาดล้างในพื้นที่ไปแล้วผู้หนึ่ง ในเขตเมือง Cancun กลุ่มค้ายาเสพติดอาจจะมีการแอบอ้างตัวเป็นตำรวจ หรือการเจาะเข้าไปทำงานในกองตำรวจของพื้นที่ด้วย
การท่องเที่ยวของเม็กซิโกเป็นแหล่งรายได้อันดับสามของประเทศ รองจากน้ำมันและเงินส่งกลับจากต่างประเทศ โดยการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับเม็กซิโกประมาณ 13.2 พันล้านเหรียญต่อปี มีนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เดินทางมายังเม็กซิโกปีละประมาณ 18 ล้านราย โดยมีการเดินทางไปกลับตามเขตชายแดนวันละหลายหมื่นคน โดยมีชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกประมาณ 1 ล้านคนอีกด้วย
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโก
ที่มา: http://www.depthai.go.th