ไม่ไปอินเดียแล้วจะเสียใจ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 3, 2010 11:08 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. สถานการณ์ตลาดอินเดียเป็นอย่างไร

ในปี 2553 นี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 9.4% เพิ่มจากเดิมที่คาดการณ์ไว้เดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าจะขยายตัวเพียง 8.8% การปรับค่าประมาณการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากการที่บริษัทชั้นนำต่างๆ ของอินเดียต่างประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกกันถ้วนหน้า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียยังส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภคและมีการนำเข้าจากประเทศไทยมากขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 (ม.ค. —ก.ย.) การส่งออกของไทยไปยังอินเดียมีมูลค่า 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัวสูงถึง 42% โดยสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าเพื่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางพารา และน้ำตาล เป็นต้น

สำหรับในปี 2554 World Bank คาดว่าอินเดียจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ 8% เนื่องมาจากมีการไหลเข้าของ FDI อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสาขายานยนต์ IT , call center และ Software และคาดว่าการส่งออกของไทยไปอินเดียในปี 2554 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 35% ดังนั้น ปี 2554 จึงเป็นปีทองอีกปีหนึ่งสำหรับผู้ส่งออกไทยในการเจาะตลาดอินเดีย

2. มีช่องทางรวยไหมในอินเดีย

โอกาสและช่องทางการค้าในตลาดอินเดียมีอยู่มากมาย แต่ที่เด่นๆ ได้แก่

1) ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจพัฒนาที่พักอาศัยในอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็วมาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บริษัทบ้านพฤกษาฯ ได้เข้าไปบุกตลาดแล้วทั้งในเมืองเจนไน บังกะลอร์ และเมืองมุมไบ ขณะเดียวกันวัสดุก่อสร้างก็เป็นสาขาที่มีศักยภาพสูงเช่นกัน โดยเมื่อเร็วๆ นี้สมาคมธุรกิจไม้ยางพาราไทยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไนเปิดตลาดอินเดียสามารถทำยอดขายได้ถึง 340 ล้านบาทเลยทีเดียว

2) เฟอร์นิเจอร์ ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ ไม้อัด และไฟเบอร์บอร์ด —สมาคมธุรกิจไม้ยางพาราไทยได้ไปสำรวจตลาดมาแล้ว และเห็นว่าตลาดอินเดียมีศักยภาพสูงไม่แพ้ตลาดจีนเลย บรรดาแขกทั้งหลายแย่งกันซื้อไม้ยางพาราไทยเหมือนกันแย่งของฟรีเลยทีเดียว

3) สินค้าอาหาร และสิ่งปรุงแต่งอาหาร สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับด้วยดีเสมอมาโดยผู้บริโภคอินเดีย เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคใกล้เคียงกับของไทย โดยเฉพาะมีการใช้เครื่องแกง เครื่องเทศ และกระทิในการปรุงอาหารคล้ายกัน การสร้างการยอมรับในอาหารไทยจึงทำได้ไม่ยาก อีกทั้ง 54% ของการจับจ่ายของคนอินเดียเป็นค่าใช้จ่ายด้านอาหาร นอกจากนั้นแขกยังชอบกินจุบกินจิบ พวกสแนกขายดีมาก

4) ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้ และผลไม้แปรรูปของไทยก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากคนอินเดียทุกคนนิยมบริโภคผลไม้และน้ำผลไม้ โดยเฉพาะ น้ำมะนาว น้ำมะพร้าวอ่อน และน้ำส้ม ทุกสี่แยกจะมีร้านผลไม้ปั่นขายกันเต็มไปหมด นอกจากนั้น เครื่องดื่มชูกำลัง “กระทิงแดง” ของไทยก็ติดตลาดอย่างไร้คู่แข่ง เป็นที่น่าภาคภูมิใจของไทยเป็นอย่างยิ่ง

5) ของเด็กเล่น เสื้อผ้าและของใช้เด็ก อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรอายุต่ำกว่า 25 ปีมากกว่า 40% อีกทั้งคนอินเดียยังนิยมมีลูกหลายคน ตลาดเด็กและวัยรุ่นจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่น้อย

6) ผลิตภัณฑ์พลาสติกและเมลามีน — อินเดียเป็นประเทศที่บริโภคพลาสติกและผลิตภัณฑ์มากที่สุดในโลก นั่นเป็นเหตุผลที่ศรีไทยซุปเปอร์แวร์เข้าไปตั้งโรงงานผลิตภาชนะในครัวเรือนในอินเดียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

7) เครื่องปั่นไฟและเครื่องสำรองไฟฟ้า — อินเดียเป็นประเทศที่ไฟฟ้าดับบ่อยมากโดยเฉพาะในฤดูร้อน ดับมาราธอน 3-4 ชั่วโมง ทั้งนี้บริษัทเดลตาของไทยได้ไปเปิดตลาดนำร่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

8) เครื่องปรับอากาศ —คนอินเดียในปัจจุบันถือว่าเครื่องปรับอากาศเป็นปัจจัยที่ 5 พอๆ กับรถยนต์ นอกจากนั้นชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศยังอยู่ในบัญชี FTA อาเซียน-อินเดียด้วย จึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบการเข้าไปตั้งโรงงานในอินเดียเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดนี้

9) ยางและผลิตภัณฑ์ยาง — เป็นที่ต้องการสูง ขณะที่การผลิตในประเทศอินเดียไม่พอกับความต้องการ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีการผลิตถึงปีละ 2 ล้านคัน แน่นอนรถทุกคันต้องใช้ยาง

10) บรรจุภัณฑ์-เป็นที่ต้องการเป็นอย่างสูงโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยเมื่อเร็วๆ สมาคม SME ไทยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไนได้เปิดตลาดอินเดียโดยสามารถทำยอดขาดได้ถึง 60 ล้านบาท

11) ชิ้นส่วนยานยนต์ —อินเดียเป็นฐานใหญ่ในการผลิตรถยนต์ยี่ห้อดัง ทั้งฮุนได ซูซูกิ บีเอ็มดับบลิว และโตโยตา โดยผู้ผลิตส่วนใหญ่เริ่มหันมาซื้อชิ้นส่วนฯ จากประเทศไทยเนื่องจากเป็นสินค้าที่ได้รับอานิสงส์จาก FTA อาเซียน-อินเดียทั้งลดหย่อนและยกเว้นภาษีนั่นเอง

12) ทองรูปพรรณ -อินเดียเป็นตลาดทองคำใหญ่ที่สุดในโลก มีการบริโภคทองคำถึง 20% ของการบริโภคทั่วโลก ขณะที่ตลาดทองคำมีการเติบโตถึงปีละ 10% และคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าอินเดียจะบริโภคทองคำเพิ่มเป็น 25% ของการบริโภคทองคำทั่วโลก และการจำหน่ายทองในอินเดียมีส่วนแบ่งตลาดถึง 90% ของการจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับ นับเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้ส่งออกไทย ทั้งนี้ปัจจุบันแพรนดาของไทยได้เข้าไปทำธุรกิจแล้วและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงเลยทีเดียว

13) เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สปา —ครีมไวเทนนิงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในตลาดนี้ เพราะสาวอินเดียก็อยากขาวไม่ต่างจากสาวไทยเลย ซึ่งเครื่องสำอางจันทร์สว่างก็ได้บุกทะลวงตลาดนี้ด้วยการขายแฟรนซ์ไชส์อย่างฉับไวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับสปาไทยนั้น เป็นที่นิยมสุดขีด โดยสถานความงามและสปาแทบทุกแห่งจะต้องมีสปาไทยไว้บริการลูกค้าเสมอ

3. สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไนมีแนวทางการรุกตลาดนี้อย่างไร

ในปี 2554 สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไนจะใช้กลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น อาทิเช่น การจัดงาน Thailand Trade Exhibition 2011 ที่เมืองเจนไน ช่วงเดือนสิงหาคม 2554 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 100 ราย (ขอกระซิบว่างาน Thailand Trade Exhibition 2011 ที่เจนไนเป็นงานที่ชาวอินเดียสนใจและตั้งตารอคอยมากที่สุด ไม่มีคำว่าตบยุงกันแน่นอน ควรซื่อกระเป๋าใหม่ก่อนกลับ 1 .ใบไว้ขนเงินรูปีกลับประเทศไทย) เข้าร่วมงาน India International Leather Fair 2011 ช่วงเดือนมกราคม 2554 เนื่องจากเจนไนเป็นฐานใหญ่ในการผลิตเครื่องหนังและรองเท้าของอินเดีย นอกจากนั้น สำนักงานฯ จะเข้าร่วมงาน Interior & Exterior Show (13-16 มกราคม 2554), Global Home Produx Expo 2011 (25 -27 มีนาคม 2554), India International Build Expo 2011 (1-3 กรกฎาคม 2554) เพื่อเปิดแนวรบใหม่ๆ ให้กับสินค้าไทย

4. ผมเป็น SMEs สำนักงานฯ จะช่วยอะไรได้บ้าง

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสำนักงานฯ สนับสนุนการเข้าไปบุกตลาดอินเดีย SMEs อย่างเต็มที่ เช่น ในสินค้าเครื่องหนัง รองเท้า บรรจุภัณฑ์ ไม้ยางพารา และเครื่องสำอางซึ่งสำนักงานได้จัดนัดหมาย B2B และประสบความสำเร็จ Happy กันถ้วนหน้า ส่งผลให้ในปี 2553 นี้คาดว่ายอดส่งออกจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 45% อย่างแน่นอน

5. ข้อแนะนำ/เสนอแนะ แก่ผู้ประกอบการไทยในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อเข้าสู่ตลาดที่ท่านรับผิดชอบ (Creative Economy และการพัฒนาผลิตภัณฑ์)

ขอแนะนำให้ผู้ส่งออกมองให้ไกลไปกว่าการส่งออกเพียงอย่างเดียว ควรมองให้ไกลไปกว่านั้นด้วย เช่น การเข้าไปตั้ง Bonded Warehouse หรือการเข้าไปตั้งโรงงานประกอบสินค้าที่นำเข้าชิ้นส่วนฯ จากประเทศไทย เช่นในกรณีของเครื่องปรับอากาศที่ได้รับสิทธิพิเศษ FTA อาเซียน-อินเดีย จะทำให้สินค้าไทยมีราคาที่ต่ำลงและแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดอินเดีย หรือในกรณีของเฟอร์นิเจอร์ก็ควรเข้าไปศึกษาแนวโน้มการออกแบบ และความต้องการชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์เป็นไปในทิศทางใด เป็นที่สังเกตว่าตลาดเฟอร์นิเจอร์อินเดียผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับ Brand royalty น้อย ขณะที่ผู้บริโภคเริ่มมีกำลังซื้อสูงขึ้น และแสวงหาสินค้าคุณภาพมากกว่าเดิม จุดนี้เป็นโอกาสทางการตลาดที่สินค้าไทยที่มี Creative Economy มากกว่าจะประสบความสำเร็จในตลาดนี้

6. ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยควรปรับตัว/ตั้งรับอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และรับมือกับภาวเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

การกระจายความเสี่ยงเป็นคำตอบสำคัญในประเด็นนี้ การเข้าไปตั้งสำนักงานขาย หรือเพิ่มสายงานโดยการเข้าไปตั้งโรงงานผลิตในอินเดียจะช่วยลดความเสี่ยงในด้านความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยผลกำไรที่เกิดขึ้นเราสามารถใช้ไปกับการ reinvestment ในอินเดียต่อไป ซึ่งอินเดียเป็นตลาดที่มีประชากรถึง 1.1 พันล้านคน และแนวโน้มการเติบโตของ GDP ก็ยังคงขยายตัวในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นตลาดอินเดียจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าตลาดจีนเลย

ดร.ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ

กงสุล (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ เมืองเจนไน ประเทศอินเดีย

ที่มา: http://www.depthai.go.th


แท็ก อินเดีย   IMF  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ