“ส่งออก” ชี้ “เอสเอ็มอี” ต้องปรับตัวเพื่อรับมือความเสี่ยงบาทแข็งค่าปีหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 26, 2010 14:38 —กรมส่งเสริมการส่งออก

“ส่งออก” ชี้ “เอสเอ็มอี” ต้องปรับตัวเพื่อรับมือความเสี่ยงบาทแข็งค่าปีหน้า พร้อมเผยปีหน้าผู้ประกอบการเหนื่อย ส่งออกโต 8% ชี้ต้องบริหารต้นทุน-คุณภาพสินค้า

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยต้องมีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด โดยผู้บริหารต้องหันมาใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกด้านข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจกับตลาดที่กำลังจะขยายตัวไปเป็นตลาดระดับภูมิภาค ดูแลต้นทุนการผลิตอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเปรียบเทียบต้นทุนกับคู่แข่งด้วยว่ายังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่

นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวในงานเสวนาเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเอสเอ็มอีไทย ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก หัวข้อ “ค้นทางเลือก หาทางรอดกลางวิกฤติธรรมชาติยุคบาทแข็ง” ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ว่า ได้พยายามหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี โดยเจาะลึกเป็นรายสินค้า และทำความเข้าใจถึงสภาพของแต่ละตลาด เพื่อนำมาประยุกต์การเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพดีและได้รับผลกระทบน้อย รวมถึงเพื่อเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมกับเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ ให้กับผู้ประกอบเอสเอ็มอีเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามยังมั่นใจว่า แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่การส่งออกปีหน้าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% หรือมูลค่าเกินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยต้องมีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด โดยผู้บริหารต้องหันมาใช้เทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกด้านข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจกับตลาดที่กำลังจะขยายตัวไปเป็นตลาดระดับภูมิภาค ดูแลต้นทุนการผลิตอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเปรียบเทียบต้นทุนกับคู่แข่งด้วยว่ายังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่” นายวุฒิชัย กล่าวเพิ่มเติม

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในปีหน้าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวน้อยลง และจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตเพียงแค่ 4 % จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3.5 -5% ขณะที่เงินบาทอาจจะแข็งค่าถึง 26-27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพียง 8% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 10 — 13%

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งหามาตรการแทรกแซงการเก็งกำไร และใช้มาตรการทางภาษี รวมทั้งผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยไปลงทุนในประเทศต่างๆ ให้มากขึ้นกว่านี้ ผู้ประกอบต้องดูแลต้นทุนและคุณภาพสินค้าให้ดีอยู่ตลอดเวลา” นายธนวรรธน์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE2 ) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด มาใช้ และรวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศยุโรป และความเสี่ยงของไอซ์แลนด์ที่อาจจะเริ่มก่อตัว จะเห็นผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกชัดเจนในไตรมาสที่ 1 ปี 2554

นายทศพล วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอยุธยา และกรรมการผู้บริหารสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (เอสเอ็มไอ) กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการความช่วยเหลือในขณะนี้ ได้แก่ การสร้างเครือข่ายร่วมกัน การพัฒนาด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้า การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำเงินมาปรับปรุงเครื่องจักร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การเข้าถึงตลาด และต้องการให้มีการเพิ่มทักษะแรงงานให้มากขึ้น

“รัฐบาลต้องเร่งเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการในกลุ่มที่ไม่ได้เป็นเครือข่ายของธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเติบโตได้ตามบริษัทขนาดใหญ่ แต่ทำธุรกิจเพียงลำพัง รวมทั้งปรับโครงสร้างทางภาษีที่เอื้อต่อการทำธุรกิจสำหรับเอสเอ็มอี” นายทศพล กล่าวเพิ่มเติม นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช กรรมการและประธานกรรมการ ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า ปีหน้าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวน้อยลง ผู้ส่งออกจึงควรรับมือด้วยการทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน และควรใช้เงินสกุลอื่นแทนดอลลาร์ เช่น หากซื้อขายกับจีนก็ควรใช้เงินหยวน เป็นต้น

ด้านนายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไม่มีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลค่าเงินบาท ผู้ส่งออกคงจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะลูกค้าไม่ยอมรับการปรับขึ้นราคา

ที่มา: http://www.depthai.go.th


แท็ก เอสเอ็มอี  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ