สเปน : ตลาดซอส น้ำสลัด และเครื่องปรุงอาหาร SAUCES, DRESSINGS AND CONDIMENTS

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 15, 2010 11:37 —กรมส่งเสริมการส่งออก

  • ในปี ๒๕๕๓ ยอดจำหน่ายซอส น้ำสลัด และเครื่องปรุงอาหารในสเปนมีมูลค่าเติบโตขึ้นร้อยละ ๒ คิดเป็นมูลค่า ๑,๒๐๐ ล้านยูโร
  • จากสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย ถือเป็นผลดีแก่สินค้าประเภทนี้ เนื่องจากผู้บริโภคเลือกที่จะรับประทานอาหารที่บ้านเพิ่มขึ้น
  • น้ำสลัดผักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขยายตัวมากที่สุดของกลุ่ม มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๔ หรือคิดเป็นมูลค่า ๑๘.๗ ล้านยูโร
  • ราคาจำหน่ายต่อหน่วยปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการลงทุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ
  • สินค้าภายใต้ตราสินค้าของผู้จำหน่ายเอง ยังคงเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง
  • คาดว่าสินค้าในหมวดนี้จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ ๒ อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี ๒๕๕๘

แนวโน้ม

จากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ยอดจำหน่ายสินค้าประเภทซอส น้ำสลัด และเครื่องปรุงอาหาร เติบโตได้ดี เนื่องจากผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาประกอบอาหารรับประทานเองที่บ้านกันมากขึ้น ท่ามกลางอัตราการวางงานที่พุ่งสูงและความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจด้านรายได้ในอนาคต จึงหันมาออมเงินกันมากกว่าเดิม

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดสินค้าประเภทนี้เขาสู่ภาวะอิ่มตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีสินค้าใหม่ๆ ในท้องตลาดออกมาไม่มาก เลยทำให้การขยายตัวเริ่มชะลอตัวลง

น้ำสลัดเป็นสินค้าที่มีพลวัตสูงที่สุดของกลุ่ม ยอดจำหน่ายสามารถเติบโตได้ร้อยละ 14 เนื่องจากยังมีโอกาสขยายตัวสูง จากสาเหตุที่ชาวสเปนแต่ดั้งเดิมนิยมใช้น้ำมันมะกอกกับน้ำส้มสายชูเท่านั้นเพื่อปรุงรสสลัด ผู้ผลิตจึงสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมาสู่ตลาดได้โดยเน้นเรื่องสุขภาพเป็นแรงดึงดูดใจผู้บริโภค ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ Heinz ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเจาะตลาดน้ำสลัด ๓ รส ได้แก่ ซีซาร์ บลูชีส และนอร์ดิก บรรจุในขวดพลาสติก PET ในรูปแบบคว่ำขวดลง และตราสินค้า Chovi แนะนำผลิตภัณฑน้ำสลัดแช่เย็นรสชาติต่างๆ เช่น ซีซาร์ โยเกิร์ต และน้ำส้มสายชู ที่มีจำหน่ายเฉพาะในเครือข่ายร้านค้าปลีกของตนเอง

นอกจากนั้น ซอสประกอบอาหารของชนชาติต่างๆก็มียอดจำหน่ายสูงขึ้น จากกลุ่มประชากรที่อพยพเข้ามาและปัจจัยโลกาภิวัตน์เกี่ยวกับความชื่นชอบของชาวสเปนเอง ด้วยเหตุนี้ น้ำซอสถั่วเหลืองสามารถขายได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๐ คิดเป็นมูลค่ารวม ๘ ล้านยูโรในปี ๒๕๕๓ หรือแม้แต่น้ำซอสรสเปรี้ยวหวานและซอสพริกชนิดต่างๆก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘ ทีเดียว

หากคิดราคาจำหน่ายต่อหน่วยโดยเฉลี่ยแล้วจะพบว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากแรงกดดันของผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของตนเองที่ขยายส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ บีบบังคับให้สินค้าที่ใช้ตราสินค้าทั่วไปต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมากอบกู้สถานการณ์ขณะเดียวกันก็ทำการเพิ่ม

มูลค่าสินค้าเข้าไปด้วย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีผลประกอบการที่ดีนัก เนื่องจากผู้บริโภคท่ามกลางภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเน้นการใช้ระดับราคาสินค้าเป็นตัวชี้ขาดในการเลือกจับจ่ายใช้สอย

ตลาดซอสปรุงอาหารที่มีลักษณะเปียก (Wet cooking sauces) ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยขยายตัวลดลงร้อยละ ๓ ในปี ๒๕๕๓ โดยมีสาเหตุจากความจริงที่ว่าผู้บริโภคมีความคิดว่าเป็นสินค้าที่มี

มูลค่าเพิ่มในอัตราสูงและสามารถทำได้เองที่บ้าน ทั้งนี้ ครีม Bechamel เปHนประเภทของซอสเปียกที่จำหน่ายมากที่สุดและยังเติบโตได้ดีถึงแม้จะถือว่าเป็นสินค้าที่มีพลวัตต่ำก็ตาม

ในแง่ของแนวโน้มและการพัฒนา การมองหาตลาดเฉพาะ (Niche market) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้มีการนำซอสและน้ำสลัดมาใช้กันมากขึ้นดังจะเห็นได้ตามร้านอาหารนานาชาติ ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีขนาดตลาดเล็กๆแต่ก็เติบโตได้ดี เช่น ตราสินค้า Chov ได้ออกผลิตภัณฑ์น้ำซอส Kebab ใหม่ ๒ ชนิด ได้แก่ แบบสีขาวและแบบรสเผ็ด

สมาคมผู้ผลิตเครื่องปรุงอาหารและซอสปรุงรสของสเปน กล่าวว่ากลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีพลวัตสูง ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปควรให้ความสำคัญและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคโดยมีปัจจัย ๓ ประการ ประกอบไปด้วย รสชาติ เพื่อสุขภาพ และความสะดวกสามารถนำไปใช้ได้ง่าย

ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ได้ถูกพัฒนาเน้นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้มากขึ้น ดังนั้น ขวดพลาสติก PET ที่มีลักษณะคว่ำขวดลงจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ

การแข่งขัน

ซอส น้ำสลัด และเครื่องประกอบอาหารภายใต้ตราสินค้าของผู้ค้าปลีกเอง นอกจากจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปในราคาที่ไม่แพงแล้ว ยังพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ต่างกับผู้ผลิตสินค้าภายใต้ตราสินค้าทั่วไปในท้องตลาดที่มีหน้าที่ผลิตและจัดส่งสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าอย่างเด่นชัด นอกจากนั้น ผู้กระจายสินค้าบางราย อย่างเช่น Mercadona ได้ถอนผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าทั่วไปออกจากชั้นวางจำหน่าย เนื่องจากต้องการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของตนเอง ส่วนสินค้าที่มีตราสินค้าทั่วไปในระดับสินค้าปานกลางจะได้รับผลกระทบมากที่สุดที่จะรักษารอดตัวในตลาด

ในปี ๒๕๕๒ ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของผู้ค้าปลีกเอง ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุด ประมาณร้อยละ ๑๙ อันเนื่องมาจากนโยบายการนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับพื้นๆ พร้อมกับตัดอัตราส่วนกำไรลง จึงเหมาะกับสภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริโภคจะคำนึงถึงระดับราคาเป็นสิ่งแรกในการเลือกซื้อ นอกจากนั้น ผู้ค้าปลีกก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปด้วยจึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคเป็นลำดับ ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ซอสมะเขือเทศปรุงสำเร็จที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้ตราสินค้า Carrefour EcoBio และซอสมะเขือเทศปรุงสำเร็จปราศจากน้ำตาลที่นำเสนอโดยห้าง Mercadona ภายใต้ตราสินค้า Hacendado ของตนเอง

ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้ผลิตสินค้าตราสินค้าทั่วไปต้องทุ่มทุนในการสร้างนวัตกรรมและนำเสนอโดยเน้นเรื่องมูลค่าเพิ่มให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้ว่าผู้นำทางการตลาดเกือบทุกรายได้ขยายไลน์สินค้าหรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิเช่น Chovi เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในสองกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด คือ น้ำสลัดและซอสของชนชาติอื่นๆ โดยในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๑ ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์น้ำสลัดแช่เย็น จากนโยบายการพัฒนาสินค้าเข้าไปในพื้นที่กลุ่มอาหารแช่เย็นของซุปเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นเพิ่มเติมนอกเหนือจากพื้นที่จำหน่ายสินค้าอาหารพร้อมรับประทานแต่เดิม ทั้งนี้ ผู้ผลิตยอมรับว่าการนำเสนอสินค้าในบริเวณจำหน่ายสินค้าอาหารแช่เย็นจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ในความสดใหม่และมีคุณภาพสูงกว่า นอกจากนั้น การเปิดตัวซอส Kebab ใหม่ ๒ ชนิด โดยมีเป้าหมายอย่างชัดเจนที่จะเข้าสู่ตลาดเฉพาะกลุ่มใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการผลิตซอสถั่วเหลืองสูตรใหม่ที่ปราศจากสารทำให้แพ้ (Gluten free) สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่มีภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติ

สำหรับขนาดบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้ม ๒ ประการ อย่างแรกคือบรรจุภัณฑ์จะมีขนาดเล็กลงเนื่องจากขนาดครอบครัวปัจจุบันที่เล็กลงและปรับตามนิสัยการบริโภคที่เปลี่ยนไป (ความนิยมในการนำอาหารจากบ้านไปรับประทานที่ทำงาน) ประการที่สอง จากปัจจัยสำคัญด้านราคาที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ทำให้สินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ขนาดย่อมที่ดูมีราคาถูกลงเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

ส่วนแนวโน้มใหม่ในการพัฒนามูลค่าเพิ่มให้แก่ตัวสินค้าจากบริษัทยูนิลีเวอร์ที่ใช้กลยุทธ์นวัตกรรมกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ตราสินค้า Calve โดยการปรับสูตรในการผลิตมายองเนสใหม่ที่ใช้แต่ไข่ที่ได้มาจากการเลี้ยงไก่แบบอิสระ (ไม่ได้ขังในโรงเลี้ยง) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ ทั้งนี้ ผลจากการวิจัยต่างๆของสเปน พบว่าผู้บริโภคมีความเชื่อว่าการเลี้ยงสัตว์แบบอิสระจะนำมาซึ่งผลิตภัณฑ์มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า มีคุณภาพที่ดีกว่า มีรสชาติที่ดีกว่า รวมทั้งความรู้สึกที่ดีในแง่จริยธรรมที่มีแก่สัตว์ นอกจากนั้น ตราสินค้า Calve ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์มายองเนสภายใต้ตรา Balance ปรับลดไขมันลงร้อยละ ๖๐ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองแบบใช้การโฆษณาผ่านทางสื่อโทรทัศน์

ในปี ๒๕๕๒ บริษัทยูนิลีเวอร์ ได้รณรงค์โครงการ "Ponte salsa, te sentara bien" หรือ "เติมซอสสักนิด มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น" สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าหลัก ๔ ตรา ประกอบด้วย Hellmann's, Ligeresa, Calve และ Knorr หลังจากได้ศึกษาผลการวิจัยของสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสเปน ซึ่งพบว่าผู้บริโภคชาวสเปนร้อยละ ๖๖.๕ คิดว่าการใส่ซอสลงในอาหารจะทำให้อ้วนขึ้น

และผู้บริโภคร้อยละ ๖๐ ไม่ทราบคุณประโยชน์ด้านโภชนาการของซอสเลย ดังนั้นวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ก็เพื่อสื่อสารและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับข้อดีทางด้านโภชนาการของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความสมดุลและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยทำการรณรงค์ ส่งเสริม และชิงรางวัลผ่านสื่อสำคัญต่างๆในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓

การใช้กลยุทธ์ด้านบรรจุภัณฑ์อาจสร้างความสับสนให้แก่ผู้บริโภคได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น กรณีของ Nesle ที่จำหน่ายซอสมะเขือเทศปรุงสำเร็จ (Tomato Frito) ในบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อต้องการสร้างความแตกต่างจากรายอื่นที่นิยมใช้บรรจุภัณฑ์ในรูปกล่องกระดาษ ขวดแก้ว หรือกระป๋องโลหะ ซึ่งมีผู้ให้ข้อสังเกตว่าผู้บริโภคอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าผลิตภัณฑนั้นเป็นซอสมะเขือเทศทั่วไป (Ketchup) อันจะสร้างความเสียหายแก่ยอดจำหนายได้

โอกาส

จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบันที่คาดว่าจะยืดเยื้อต่อไป น่าจะเป็นผลดีแก่สินค้าประเภทซอส น้ำสลัด และเครื่องปรุงอาหารต่อไป อย่างไรก็ตาม จากความเข้มแข็งของสินค้าที่ใช้ตราสินค้าของผู้ค้าปลีกเองและการแข่งขันกันตัดราคาจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมในระยะยาว

หากพิจารณากันในแง่ลบที่สุด ผู้เชี่ยวชาญบางรายคิดว่าภาวะเศรษฐกิจจะแย่ลงเรื่อยๆจนอาจถึงขั้นล่มสลาย ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงกับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงๆ

ผลิตภัณฑ์สองประเภทที่จะเติบโตได้ดี ได้แก่ น้ำสลัดและซอสของชนชาติต่างๆ โดยน้ำสลัดคาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ ๖ ในช่วง ๕ ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ ๒๕ ล้านยูโรในปี ๒๕๕๘ ขณะเดียวกัน ตัวเลขจากสำนักงานสถิติของสเปน พบว่าจำนวนประชากรผู้อพยพจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม กอปรกับความสนใจของชาวสเปนที่มีต่ออาหารต่างชาติเพิ่มขึ้น จะช่วยให้ยอดการจำหน่ายซอสปรุงอาหารของชนชาติอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ซอสถั่วเหลืองจะเติบโตร้อยละ ๕ ในช่วง ๕ ปีข้างหน้า เป็นต้น

ราคาจำหน่ายปลีกโดยเฉลี่ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง โดยมีสาเหตุสำคัญจากความนิยมบริโภคสินค้าภายใต้ตราสินค้าของธุรกิจผู้ค้าปลีกและการแข่งขันด้านราคา

ตลาดระหว่างตราสินค้าของกิจการผู้ค้าปลีกและตราสินค้าที่นิยมทั่วไปจะแบ่งแยกกันชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ไม่ยอมกำหนดตำแหน่งตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของตนก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและค่อยๆหดหายไป

การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างนวัตกรรมในช่วง ๕ ปีข้างหน้า เชื่อว่าผู้ผลิตจะคงเน้นเรื่องความเป็นธรรมชาติและการมีสุขภาพที่ดีเป็นจุดขายต่อไป เช่น ซอสมะเขือเทศปรุงสำเร็จที่ใช้ส่วนผสมที่ทำมาจากน้ำมันมะกอกหรือสูตร Homemade เป็นต้น ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่คิดค้นขึ้นเพื่อให้มีคุณลักษณะตอบสนองเฉพาะด้านมากๆดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีอย่างในปัจจุบัน ดังนั้น นวัตกรรมจะขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ได้แก่ รสชาติ ความสะดวก และสุขภาพ เป็นต้น

ผู้ผลิตพยายามหาบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพและอายุการเก็บรักษา ตลอดจนความสะดวกแก่การนำไปบริโภค

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงมาดริด

ที่มา: http://www.depthai.go.th


แท็ก สเปน  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ