สถานการณ์ทางเศรษฐกิจประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 1-15 ธันวาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 20, 2010 15:28 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ภาพรวมของเศรษฐกิจอิตาลี

เศรษฐกิจอิตาลีในไตรมาส 3 เริ่มมีสัญญาฟื้นตัวที่ดีขึ้นถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะยังเจริญเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้ ได้แก่

1) การผลิตภาคอุตสาหกรรมอิตาลี เดือนตุลาคม เริ่มกลับมาฟื้นตัวโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7

2) การบริโภคของชาวอิตาเลียน ในเดือนกันยายนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4

3) ดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคและบริษัทผู้ผลิตอิตาลี เดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้น 107.7 จุด และ 99.8 จุด ตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการภายในประเทศและการลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต

4) การส่งออกและการนำเข้าของอิตาลี ช่วง 8 เดือนแรกมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 และ 20.2 ตามล่าดับ ในด้านการส่งออกและการนำเข้าสู่ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.9 และ 32 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจอิตาลียังคงต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่ส่งผลให้เศรษฐกิจอิตาลีเจริญเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป โดยมีสาเหตุดังนี้ ได้แก่

1) รายได้ของภาครัฐบาลจากการเก็บภาษี มีอัตราลดลงช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา หนี้สาธารณะ ของเดือนกันยายนมีมูลค่า 1,844.8 พันล้านยูโร (สิงหาคม 1,842.9 พันล้านยูโร) ซึ่งถือว่ามาตรการที่ทางรัฐบาลอิตาลีได้ออกมาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น การลดค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล การควบคุมด้านภาษี เป็นต้น ยังคงไม่เป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลคาดไว้

2) ผลประกอบการและคำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมอิตาลี เดือนกันยายนมีอัตราลดลงร้อยละ 0.3

3) อัตราการว่างงาน เดือนกันยายน 2553 เพิ่มขึ้น 0.2 แต่ก็ยังถือว่ามีอัตราที่ต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป

4) อัตราการจ้างงาน เดือนสิงหาคมในบริษัทขนาดใหญ่มีอัตราลดลงร้อยละ 0.1

5) การลดชั่วโมงการท่างาน ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 มีจำนวน 925,7 ล้านชั่วโมง เพิ่มขึ้น 50.5% (614,9 ล้านชั่วโมงระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2552)

วิกฤตการเงินไอร์แลนด์ที่มีต่อเศรษฐกิจอิตาลี

จากภาวะวิกฤตเศรษฐหนี้ของกรีซที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้หลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกส ไอร์แลนด์ สเปน และอิตาลี ซึ่งถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกรีซ เนื่องจากมีสถานภาพทางการเงินที่เปราะบางและยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หลายประเทศเกิดความตระหนักและระมัดระวังกับเหตุการณ์ดังกล่าวมากขึ้น โดยมีการวางมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันมิให้เป็นเกิดเหตุการณ์เหมือนประเทศกรีซ และล่าสุดประเทศไอร์แลนด์ได้ประสบปัญหาวิกฤตการเงินต่อจากประเทศกรีซแล้ว ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ มาจาก

1. หนี้ของภาคธนาคาร เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีจำนวน ธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก โดยธนาคารส่วนใหญ่จะปล่อยเงินกู้แก่บริษัท ประชาชนเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้นส่งผลให้ธนาคารไม่ได้รับการช่าระหนี้จากบริษัทและประชาชน และธนาคารต้องแบกภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่น ๆ

2. หนี้สินจากประชาชน ระบบเศรษฐกิจไอร์แลนด์มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากตั้งแต่ปี 1995 จนถึงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้มีการลงทุนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะการก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยประชาชนจำนวนมากได้มีการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารได้

3. รัฐบาล ภาครัฐบาลของไอร์แลนด์ (Fianna Fail) ได้รับคะแนนมากกว่าฝ่ายตรงข้ามเพียง 3 เสียง ซึ่งส่งผลให้เห็นถึงเสถึยรภาพทางการเมืองว่ามีความไม่แน่นอน

4. การลงทุนจากต่างประเทศ ในอดีตไอร์แลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ระบบเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตช้าและถือเป็นประเทศที่ไม่รวยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แต่ไอร์แลนด์มีมาตรการทางด้านภาษีที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ส่งผลให้มีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่กับเหตุการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่แน่ใจในเสถียรภาพของประเทศ

ผลกระทบและการช่วยเหลือแก่ประเทศไอร์แลนด์

1. ความน่าเชื่อถือ สถาบันจัดลำดับความน่าเชื่อถือที่มีชื่อเสียงได้มีการลดระดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์ ดังนี้

                    สถาบันจัดล่าดับความน่าเชื่อถือ           ระดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์
                    Standard & Poor’s                            A
                    Fitch Rating                                BBB+

2. แผนการช่วยเหลือ จากการยืนมือเข้ามาช่วยเหลือของสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยมีการอนุมัติให้ไอร์แลนด์กู้ยืมเงิน 85 พันล้านยูโร ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยแบ่งเป็นจำนวน 35 พันล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือระบบธนาคาร และจำนวน 50 พันล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือภาครัฐบาล โดยเงินกู้ยืมดังกล่าวทางรัฐบาลจะช่าระคืนดอกเบี้ย 6 % ใน 3 ปีข้างหน้า

3. การช่วยเหลือจากภาครัฐบาล ธนาคารในไอร์แลนด์ประสบปัญหาเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ภาครัฐบาลได้ยืนมือเข้ามาช่วยเหลือโดยรัฐบาลจะเป็นผู้ถือหุ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งกับการช่วยเหลือในครั้งนี้

4. มาตรการของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลคาดการณ์ในการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2556 และ 2557 ในอัตราร้อยละ 22 และ 23 ตามลำดับ และจะมีการตัดลดค่าใช้จ่ายประมาณ 10 พันล้านยูโร

ผลกระทบต่ออิตาลี

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้อิตาลีถูกจับตามองว่าอาจจะประสบปัญหาอย่างประเทศกรีซ และไอร์แลนด์ เพราะระบบเศรษฐกิจอิตาลีเจริญเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แต่ Mr. Giulio Tremonti รัฐมนตรี

ว่าการกระทรวงการคลังอิตาลี ได้เปิดเผยในที่ประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ว่าจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับกรีซ ไอร์แลนด์ นั้น อิตาลียังถือเป็นประเทศที่แข็งแกร่งซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การออมของประชาชนที่สูง ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง การเกษียณอายุการทำงาน งาน ครอบครัว จำนวนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่สูงและภาคการบริการที่ต่ำ และการระมัดระวังในการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาล จากการสำรวจของสถาบัน Credit Suisse เปิดเผยว่า ครอบครัวอิตาลีเป็นครอบครัวที่รวยเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศสมาชิก G7 รองจากประเทศฝรั่งเศล และรวยเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยครอบครัวชาวอิตาเลียนจะรักการออมเป็นสำคัญและเน้นการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ นักเขียนข่าวจากหนังสือพิมพ์ 24 ore มีความเห็นว่าอิตาลีมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวช่วยให้ไม่ต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเหมือนกรีซและไอร์แลนด์ได้แก่

1) ความร่ำรวยของครอบครัวชาวอิตาเลียน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อิตาลีแตกต่างไปจากประเทศอื่น กอปรกับระบบธนาคารอิตาลีที่แข็งแกร่ง ระมัดระวังในการปล่อยกู้

2) หนี้สาธารณะจากนอกประเทศ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 รัฐบาลอิตาลีมีหนี้สินที่กู้จากต่างประเทศจำนวน 837 พันล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าประเทศเยอรมัน (จำนวน 978 พันล้านยูโร) และฝรั่งเศส (จำนวน 1,037 พันล้านยูโร)

3) อัตราการว่างงาน อิตาลีและเยอรมันมีอัตราการว่างงานต่ำที่สุด โดยประเทศที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดได้แก่ สเปน ไอร์แลนด์ และกรีซ

4) การปล่อยกู้ของธนาคารอิตาลีในต่างประเทศ จากข้อมูลของธนาคาร Deutsche เปิดเผยว่า ธนาคารของอิตาลีมีการปล่อยกู้แก่ประเทศ กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส เพียง 26 พันล้านยูโร โดยประเทศที่มีการปล่อยกู้มากที่สุดแก่ 3 ประเทศดังกล่าว ได้แก่ เยอรมัน (จำนวน 213 พันล้านยูโร) และฝรั่งเศส (จำนวน 142 พันล้านยูโร)

แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ Telegraph ของประเทศอังกฤษ มีความเห็นว่าอิตาลีมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ตามกรีซ และไอร์แลนด์ อันเนื่องมาจากการเพิ่มผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นกอปรกับความไม่มั่นคงของรัฐบาลในขณะนี้

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมิลาน เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจอิตาลีเจริญเติบโตอย่างช้า ๆ กว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่กับวิกฤตเศรษฐกิจโลกและวิกฤตเศรษฐหนี้ของกรีซที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจอิตาลีไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะลำบากแต่อย่างไร การที่อิตาลีถูกจับตามองว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ภาวะลำบากเหมือนกรีซและไอร์แลนด์ อันเนื่องมาจากภาครัฐบาลมีหนี้สาธารณะที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจอิตาลียังคงขับเคลื่อนไปได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญได้แก่ การออมของประชาชนอยู่ในระดับสูง หนี้จากประชาชนและภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานยุโรป การขาดดุลการคลังค่อนข้างต่ำ โดยหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนึ้ที่เกิดในขึ้นภายประเทศ ไม่ได้กู้เงินจากภายนอกประเทศ ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง จึงส่งผลให้รัฐบาลอิตาลีสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และการปล่อยกู้แก่ประเทศกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกสมีจำนวนต่ำ

2.ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

                    เทียบกับไตรมาส 2 ปี 53           เทียบกับไตรมาส 3 ปี 52
ไตรมาส 3 ปี 53 (%)           +0.2                          +1.0
ที่มา:Istat

สำนักงานสถิติแห่งชาติอิตาลีได้เปิดเผย ตัวเลขของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอิตาลี (GDP)ไตรมาส 3 ของปี 2553 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เปรียบเทียบจากไตรมาส 2 (+0.5%) และมีอัตราเพิ่มขึ้น 1% เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยมาจากมูลค่าการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้ามภาคเกษตรกรรมกลับมีตัวเลขที่ลดลง

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งชาติอิตาลีและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอิตาลีในปี 2553 และปี 2554 จะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1% ในขณะที่หน่วยงาน REF (Ricerche per l'economia e la finanza) คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอิตาลีในปี 2553 และปี 2554 จะเพิ่มขึ้น 1% และ 0.7% ตามลำดับ สำหรับศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลของสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ (Centro Studi Confindustria) ได้คาดการณ์ว่า GDP อิตาลี ในปี 2553 และ 2554 จะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1%

สำหรับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้มองว่า GDP อิตาลี มีแนวโน้มลดลงแต่สำหรับหนี้สาธารณะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยคาดการณ์ว่า GDP อิตาลี ในปี 2553 จะเพิ่มขึ้น 1% (จาก 1.1% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา) ส่วนปี 2554 จะเพิ่มขึ้น 1.3% (จาก 1.5% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา) และปี 2555 จะเพิ่มขึ้น 1.6%

3. การผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production)

                    เทียบกับตุลาคม ปี 52           เทียบกับกันยายน ปี 53
ตุลาคม ปี 53 (%)             +7.1                        +0.7
ที่มา :ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ(Centro studi di Confindustria)

การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเดือนตุลาคม 2553 มีอัตราเพิ่มขึ้นซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตามการที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ทางผู้ผลิตจะต้องเน้นการส่งออกที่เพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าความต้องการของตลาดภายนอกประเทศยังคงชะลอตัว โดยผู้ผลิตอาจเน้นส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น จีน อินเดีย บราซิล เป็นต้น

จากผลสำรวจของ Prometeia-Intesa Sanpaolo เปิดเผยว่า ปี 2552 เป็นปีวิกฤตของบริษัทผู้ผลิตอิตาลี โดยพบว่า 40% ของบริษัทที่ถูกสำรวจ ธุรกิจเกิดการขาดทุน นอกจากนี้ บริษัทขนาดเล็กของภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นและเฟอร์นิเจอร์ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากพิษวิกฤตเศรษฐกิจ ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กของภาคอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กกล้าได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทขนาดใหญ่

4. ผลประกอบการและคำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรม

4.1 ผลประกอบการ

                    เทียบกับกันยายน ปี 52           เทียบกับสิงหาคม ปี 53
กันยายน ปี 53 (%)            +10.9                        -0.3

จากข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งชาติอิตาลี ได้เปิดเผยว่า ในเดือนกันยายนผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมอิตาลีมีอัตราลดลง 0.3% เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้น 1% จากตลาดภายในประเทศและลดลง 3.2% จากตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ มีอัตราเพิ่มขึ้น 10.9% เปรียบเทียบก้บช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2552 และไตรมาส 3 มีอัตราเพิ่มขึ้น 2% เปรียบเทียบกับไตรมาส 2

4.2 ค่าสั่งซื้อ

                    เทียบกับกันยายน ปี 52           เทียบกับสิงหาคม ปี 53
กันยายน ปี 53 (%)            +17.9                        -1.2
คำสั่งซื้อภายในประเทศ
กันยายน ปี 53 (%)            +16.3                        +3.1
คำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
กันยายน ปี 53                +20.9                        -7.8
ที่มา:Istat

เดือนกันยายน 2553 คำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมมีอัตราลดลง 1.2 % โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของคำสั่งซื้อจากตลาดต่างประเทศ

จากข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งชาติอิตาลี พบว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้แก่

1) ภาคการผลิตยานพาหนะขนส่ง +26%

2) ภาคการผลิตโลหะ 24.1%

3) ภาคการผลิตเครื่องจักรกลและเครื่องอุปกรณ์ 21.3%

5. การบริโภค

                    เทียบกับกันยายน ปี 52           เทียบกับสิงหาคม ปี 53
กันยายน ปี 53 (%)             -1.6                        +0.4
ที่มา:สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกรายย่อยแห่งชาติ(Confcommercio)

เดือนกันยายน 2553 การบริโภคของชาวอิตาเลียนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยพบว่าปริมาณการสั่งซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคของครอบครัวอิตาเลียนลดลงร้อยละ 2.8 แต่ความต้องการทางด้านการบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4

ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงห่างไกลจากช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงแปรผันขึ้นลงไม่แน่นอน ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 ความต้องการบริโภคของครอบครัวชาวอิตาเลียนยังมีตัวเลขที่อ่อนแอ อันเนื่องมาจากรายได้ของครอบครัวที่ไม่เพิ่มขึ้นอีกทั้งชาวอิตาเลียนยังไม่แน่ใจกับภาวะเศรษฐกิจในอนาคต แต่ในทางตรงกันข้ามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และภาคการบริการ มีตัวเลขการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในเดือนตุลาคม

6. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

6.1 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอิตาลี

                              เทียบกับกันยายน ปี 53           เทียบกับตุลาคม ปี 53
ดัชนีความเชื่อมั่น ตุลาคม ปี 53 (จุด)         107.2                      107.7

พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอิตาลี เดือนตุลาคม 2553 ปรับตัวสูงที่สุดนับจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนเหนือของอิตาลีแต่สำหรับทางตอนกลางและตอนใต้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับปรับตัวลดลง

6.2 ความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตอิตาลี

                              เทียบกับกันยายน ปี 53           เทียบกับตุลาคม ปี 53
ดัชนีความเชื่อมั่น ตุลาคม ปี 53 (จุด)          98.6                       99.8
ที่มา: สถาบันเพื่อการวิเคราะห์และศึกษาเศรษฐกิจ(ISAE)

พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตอิตาลี เดือนตุลาคม 2553 ปรับตัวสูงที่สุดนับจากเดือนพฤษภาคม 2551 โดยมีปัจจัยมาจากยอดการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากตลาดต่างประเทศ การทยอยนำสินค้าในสต็อกออกมาจำหน่าย และความหวังในอนาคตอันใกล้ต่อภาคการผลิตอิตาลีจะมีแนวโน้มดีขึ้น

6.3 ความพึงพอใจของชาวอิตาเลียนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ

จากการสำรวจของสถาบันสถิติแห่งชาติอิตาลี (Istat) ในช่วงต้นปี 2553 เกี่ยวกับความพึงพอใจของชาวอิตาเลียนที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งพบว่าร้อยละ 2.8 ของชาวอิตาเลียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก ร้อยละ 48.4 พึงพอใจ และร้อยละ 49.3 ไม่พึงพอใจ โดยตัวเลขความพึงพอใจส่วนใหญ่มาจากทางตอนเหนือ แต่สำหรับทางตอนใต้มีตัวเลขความพึงพอใจน้อยที่สุด

7. การค้าระหว่างประเทศ

(%)                                    เทียบกับตุลาคม ปี 52           เทียบกับกันยายน ปี 53
การส่งออกสู่ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป
ตุลาคม ปี 53                                   +21.9                        +1.6
การนำเข้าจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป
ตุลาคม ปี 53                                     +32                        +3.2
ขาดดุลการค้า                                1,002 ล้านยูโร
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (Istat)

เดือนตุลาคม 2553 พบว่าตัวเลขการส่งออกและการนำเข้าของอิตาลีแก่ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น แต่สำหรับดุลการค้าเดือนตุลาคมมีผลขาดดุลเพิ่มขึ้น 76 ล้านยูโร เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 สำหรับไตรมาส 3 ปี 2553 พบว่า การส่งออกลดลง 0.7% และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 3% เปรียบเทียบจากไตรมาส 2

7.1 การส่งออกของอิตาลี

ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 อิตาลีส่งออกไปทั่วโลกคิดเป็นมูลค่า 216,160 ล้านยูโร เพิ่มขื้นร้อยละ 14

ตลาดส่งออกที่สำคัญทั่วโลก 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 เยอรมัน           มูลค่า 27,984 ล้านยูโร           +15.7%
          อันดับ 2 ฝรั่งเศส           มูลค่า 24,998 ล้านยูโร           +13.5%
          อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา       มูลค่า 13,294 ล้านยูโร           +16.4%
          อันดับ 4 สเปน             มูลค่า 12,470 ล้านยูโร           +18.4%
          อันดับ 5 สหราชอาณาจักร     มูลค่า 11,256 ล้านยูโร           +16.1%
          อันดับ 59 ไทย             มูลค่า 570 ล้านยูโร              +14.9%

สินค้าส่งออกที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 เครื่องจักรกล       มูลค่า 42,169 ล้านยูโร            +5.1%
          อันดับ 2 พาหนะยานยนต์      มูลค่า 15,661 ล้านยูโร           +18.8%
          อันดับ 3 เครื่องจักรไฟฟ้า     มูลค่า 14,092 ล้านยูโร           +17.3%
          อันดับ 4 น้ำมันแร่           มูลค่า 10,978 ล้านยูโร           +55.4%
          อันดับ 5 พลาสติก           มูลค่า 9,338 ล้านยูโร            +21.3%

7.2 การนำเข้าของอิตาลี

ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 อิตาลีมีการนำเข้าจากทั่วโลกคิดเป็นมูลค่า 231,629 ล้านยูโร เพิ่มขื้นร้อยละ 20.2

แหล่งน่าเข้าที่ส่าคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 เยอรมัน           มูลค่า 36,542 ล้านยูโร           +15.6%
          อันดับ 2 ฝรั่งเศส           มูลค่า 19,202 ล้านยูโร           +15.4%
          อันดับ 3 จีน               มูลค่า 17,257 ล้านยูโร           +32.4%
          อันดับ 4 เนเธอร์แลนด์       มูลค่า 12,339 ล้านยูโร           +16.0%
          อันดับ 5 สเปน             มูลค่า 10,147 ล้านยูโร           +22.2%
          อันดับ 48 ไทย             มูลค่า 854 ล้านยูโร              +26.0%

สินค้านำเข้าที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 น้ำมันแร่                   มูลค่า 44,397 ล้านยูโร   +27.3%
          อันดับ 2 พาหนะยานยนต์              มูลค่า 20,519 ล้านยูโร    +7.7%
          อันดับ 3 เครื่องจักรกล               มูลค่า 19,817 ล้านยูโร   +15.4%
          อันดับ 4 เครื่องจักรไฟฟ้า             มูลค่า 18,923 ล้านยูโร   +29.5%

อันดับ 5 ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม มูลค่า 9,389 ล้านยูโร +8.5%

7.3 การส่งออกมาไทย

การที่ค่าเงินยูโรมีมูลค่าที่ลดลงส่งผลโดยตรงให้สินค้าจากไทยมีราคาแพงขึ้น ในทางตรงกันข้ามสินค้าจากยุโรปมีราคาต่ำลง ซึ่งส่งผลให้ไทยตกอยู่ในภาวะลำบากในการส่งออกสินค้ามายังอิตาลีและประเทศในสหภาพยุโรป

ในระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 59 ของอิตาลี อิตาลีส่งออกมาไทยมีมูลค่า 570 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 14.9% เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าที่อิตาลีส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่

          - เครื่องจักรกล                   +5.6%
          - เครื่องจักรไฟฟ้า                +22.4%
  • เครื่องประดับเพชรพลอย โลหะมีค่า +48.7%
          - พลาสติก                      +29.9%

สินค้าที่อิตาลีส่งออกมาไทยลดลง ได้แก่

          - ผลิตภัณฑ์เหล็ก เหล็กกล้า          -11.2%
          - เหล็ก เหล็กกล้า                -31.7%
          - อินทรีย์เคมี                    -17.3%

7.4 การนำเข้าจากไทย

ในระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 48 ของอิตาลี ซึ่งอิตาลีนำเข้าจากไทยมีมูลค่า 854 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 26% เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าที่อิตาลีนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไทย ได้แก่

          - เครื่องจักรกล                  +52.4%
          - ยาง                         +82.2%
          - เครื่องจักรกลไฟฟ้า              +50.6%
          - ยานพาหนะ                    +62.0%
  • เครื่องประดับเพชรพลอย โลหะมีค่า +44.0%

สินค้าที่อิตาลีนำเข้าลดลงจากไทย ได้แก่

          - ปลาและอาหารทะเล              -0.2%
  • อาหารสำเร็จรูป(เนื้อสัตว์ ปลา) -35.7%
          - เครื่องแต่งกายถัก                -4.6%

ที่มา: World Trade Atlas

8. การลงทุนระหว่างประเทศ

จากข้อมูลของ สถาบันแห่งชาติอิตาลีสำหรับการค้าในต่างประเทศ (ICE) ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มของการลงทุนของบริษัทอิตาลีในต่างประเทศ และการลงทุนจากบริษัทต่างประเทศในอิตาลี ระหว่างปี 2550-2551 การลงทุนของบริษัทอิตาลีในต่างประเทศมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 โดยมีจำนวนประมาณ 23,000 บริษัท และจำนวนของพนักงานกว่า 1,350,000 ราย

การลงทุนของบริษัทอิตาลีในต่างประเทศ (ถึง 1 มกราคม 2553) แบ่งได้ดังนี้

1.1 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 15 จำนวน 9,346 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 41 ของบริษัทอิตาลีทั้งหมดที่ลงทุนในต่างประเทศ

1.2 ยุโรปกลางและตะวันออก จำนวน 4,040 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 17

1.3 อเมริกาเหนือ จำนวน 2,592 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 11.4

1.4 ลาตินอเมริกา จำนวน 1,993 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 8.8

1.5 เอเชียและกลุ่มประเทศมหาสมุทรแปชีกฟีก จำนวน 2,215 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 9.8 โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการลงทุนในประเทศจีน จำนวน 1,030 บริษัท

ในปี 2551 พบว่าจำนวนของบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในอิตาลีมีจำนวน 7,600 บริษัท ซึ่งมีจำนวนพนักงานกว่า 932,000 ราย ในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศมีจำนวน 4,200 ราย (ประมาณ 3,000 ราย มาจากประเทศในยุโรป)

9. อัตราเงินเฟ้อ (Inflation rate)

                    เทียบกับตุลาคม ปี 52           เทียบกับกันยายน ปี 53
ตุลาคม ปี 53 (%)             +1.7                        +0.2
ที่มา: Istat

จากข้อมูลของ Istat พบว่าเดือนตุลาคม 2553 อัตราเงินเฟ้อได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นนับจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ข้อมูลตัวเลขจากหน่วยวัดราคาบริโภคของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป L'indice dei prezzi al consumo armonizzato per i Paesi membri dell'Unione Europea (IPCA) รายงานถึงอัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าในปีเดียวกัน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า

โดยสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นและลดลงในเดือนตุลาคม ได้แก่

1. ราคาน้ำมันเบนซิน -0.6% เทียบจากเดือนก่อนหน้า +8.5% เทียบจากปีก่อนหน้า

2. ราคาของสินค้าอาหาร +0.3% เทียบจากเดือนก่อนหน้า +0.6% เทียบจากปีก่อนหน้า

3. ราคาของสินค้ายาสูบ +0.2% เทียบจากเดือนก่อนหน้า

4. ราคาของสินค้าบริการ +0.3% เทียบจากเดือนก่อนหน้า +2%เทียบจากปีก่อนหน้า

5. ราคาสินค้าเพื่อการบริโภคทั่วไป +1.7% เทียบจากปีก่อนหน้า

10. ตลาดแรงงาน

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจอิตาลีจะฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างช้าๆ แต่ตลาดแรงงานในอิตาลียังคงต้องเผชิญปัญหาของอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและการจ้างงานที่ลดลง

10.1 อัตราการว่างงาน

                              กันยายน ปี 52           กันยายน ปี 53
อัตราการว่างงานทั้งหมด (%)            8.2                   8.3
อัตราการว่างงานในวัยรุ่น (15-24ปี)     26.1                  26.4
ที่มา : Eurostat

เดือนกันยายน 2553 พบว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.2 จุดจากเดือนสิงหาคม 2553 แต่ก็ยังถือว่ามีอัตราที่ต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประมาณ 2 จุด โดยผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี (1 ใน 4 ของอัตราการจ้างงาน) เนื่องจากมีสัญญาการทำงานปีต่อปีหรือนายจ้างไม่ยอมต่อสัญญาให้

ในขณะที่ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้คาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานของอิตาลีในปี 2553 2554 และปี 2555 อาจมีอัตรา 8.6% 8.5% และ 8.3% ตามลำดับ

10.2 อัตราการจ้างงาน

เทียบกับสิงหาคม ปี 52 เทียบกับกรกฎาคม ปี 53

อัตราการจ้างงาน สิงหาคม 53 (%)            -1.4                    -0.1
ที่มา : Istat

เดือนสิงหาคม 2553 พบว่าการจ้างงานในบริษัทขนาดใหญ่ มีอัตราลดลง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างงานในรูปแบบสัญญาชั่วคราวหรือปีต่อปีและการทำงานอิสระ อย่างไรก็ดี ทางธนาคารแห่งชาติอิตาลี ได้เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2553 การจ้างงานมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเล็กน้อยโดยมีจำนวนเพิ่มขึ้น 40,000 ตำแหน่ง

10.3 การลดชั่วโมงการทำงาน

สถาบันประกันสังคมแห่งชาติอิตาลี (Istituto Nazionale Previdenza Sociale-INPS) ได้เปิดเผยถึงจำนวนบริษัทที่ได้ลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานลงอันเนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น เดือนตุลาคม 2553 พบว่า มีจำนวน 100,8 ล้านชั่วโมง (-2.3%) เปรียบเทียบกับเดือนกันยายน นอกจากนี้ ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 มีจำนวน 925,7 ล้านชั่วโมง เพิ่มขึ้น 50.5% (614,9 ล้านชั่วโมงระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2552)

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมิลาน

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ