สถานการณ์ทางเศรษฐกิจประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 16-31 ธันวาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 4, 2011 12:08 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ภาพรวมของเศรษฐกิจอิตาลี

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อิตาลีในไตรมาส 3 มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 (จาก +0.2% ในการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้) ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้ ได้แก่

1) การผลิตภาคอุตสาหกรรมอิตาลี เดือนพฤศจิกายน เริ่มกลับมาฟื้นตัวโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6

2) ผลประกอบการภาคอุตสาหกรรมอิตาลี เดือนตุลาคมมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ปัจจัยมาจากการส่งออกเพิ่มขึ้น

3) การบริโภคของชาวอิตาเลียน ในเดือนกันยายนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4

4) ดัชนีความเชื่อมันของผู้บริโภคและบริษัทผู้ผลิตอิตาลี เดือนตุลาคมปรับตัวสูงขึ้น 107.7 จุด และ 99.8 จุด ตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการภายในประเทศและการลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต

5) การส่งออกและการนำเข้าของอิตาลี การส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 ในด้านการส่งออกและการนำเข้าเดือนตุลาคมมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6 และ 22.5 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจอิตาลียังคงต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่ส่งผลให้เศรษฐกิจอิตาลีเจริญเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป โดยมีสาเหตุดังนี้ ได้แก่

1) รายได้ของภาครัฐบาลจากการเก็บภาษี มีอัตราลดลงช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา หนี้สาธารณะ ในเดือนตุลาคม 2553 มีมูลค่า 1,867.3 พันล้านยูโร (กันยายน 2553 มีมูลค่า 1,844.8 พันล้านยูโร) โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 63 พันล้านยูโร เปรียบเทียบกับเดือนตุลาคม 2552 มีมูลค่า 1,804.5 พันล้านยูโร ซึ่งถือว่ามาตรการที่ทางรัฐบาลอิตาลีได้ออกมาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น การลดค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล การควบคุมด้านภาษี เป็นต้น ยังคงไม่เป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลคาดไว้

2) คำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมอิตาลี เดือนกันยายนมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9

3) อัตราการว่างงาน เดือนตุลาคม 2553 มีอัตรา 8.7 ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2547

4) การจ้างงาน ไตรมาส 3 ปี 2553 ลดลงร้อยละ 0.2 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2553 และลดลงร้อยละ 0.8 เปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

5) การลดชั่วโมงการทำงาน ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 มีจำนวน 925,7 ล้านชั่วโมง เพิ่มขึ้น 50.5% (614,9 ล้านชั่วโมงระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2552)

วิกฤตการเงินไอร์แลนด์ที่มีต่อเศรษฐกิจอิตาลี

จากภาวะวิกฤตเศรษฐหนี้ของกรีซที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้หลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะประเทศโปรตุเกส ไอร์แลนด์ สเปน และอิตาลี ซึ่งถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกรีซ เนื่องจากมีสถานภาพทางการเงินที่เปราะบางและยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หลายประเทศเกิดความตระหนักและระมัดระวังกับเหตุการณ์ดังกล่าวมากขึ้น โดยมีการวางมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันมิให้เป็นเกิดเหตุการณ์เหมือนประเทศกรีซ และล่าสุดประเทศไอร์แลนด์ได้ประสบปัญหาวิกฤตการเงินต่อจากประเทศกรีซแล้ว ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ มาจาก

1. หนี้ของภาคธนาคาร เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีจำนวนธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก โดยธนาคารส่วนใหญ่จะปล่อยเงินกู้แก่บริษัท ประชาชนเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้นส่งผลให้ธนาคารไม่ได้รับการชำระหนี้จากบริษัทและประชาชน และธนาคารต้องแบกภาระดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่น ๆ

2. หนี้สินจากประชาชน ระบบเศรษฐกิจไอร์แลนด์มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากตั้งแต่ปี 1995 จนถึงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้มีการลงทุนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะการก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยประชาชนจำนวนมากได้มีการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารได้

3. รัฐบาล ภาครัฐบาลของไอร์แลนด์ (Fianna Fail) ได้รับคะแนนมากกว่าฝ่ายตรงข้ามเพียง 3 เสียง ซึ่งส่งผลให้เห็นถึงเสถึยรภาพทางการเมืองว่ามีความไม่แน่นอน

4. การลงทุนจากต่างประเทศ ในอดีตไอร์แลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ระบบเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตช้าและถือเป็นประเทศที่ไม่รวยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แต่ไอร์แลนด์มีมาตรการทางด้านภาษีที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ส่งผลให้มีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่กับเหตุการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่แน่ใจในเสถียรภาพของประเทศ

ผลกระทบและการช่วยเหลือแก่ประเทศไอร์แลนด์

1. ความน่าเชื่อถือ สถาบันจัดลำดับความน่าเชื่อถือที่มีชื่อเสียงได้มีการลดระดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์ ดังนี้

สถาบันจัดลำดับความน่าเชื่อถือ ระดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์

             Standard & Poor’s              Fitch Rating
                     A                          BBB+

2. แผนการช่วยเหลือ จากการยืนมือเข้ามาช่วยเหลือของสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยมีการอนุมัติให้ไอร์แลนด์กู้ยืมเงิน 85 พันล้านยูโร ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยแบ่งเป็นจำนวน 35 พันล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือระบบธนาคาร และจำนวน 50 พันล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือภาครัฐบาล โดยเงินกู้ยืมดังกล่าวทางรัฐบาลจะชำระคืนดอกเบี้ย 6 % ใน 3 ปีข้างหน้า

3. การช่วยเหลือจากภาครัฐบาล ธนาคารในไอร์แลนด์ประสบปัญหาเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ภาครัฐบาลได้ยืนมือเข้ามาช่วยเหลือโดยรัฐบาลจะเป็นผู้ถือหุ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งกับการช่วยเหลือในครั้งนี้

4. มาตรการของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลคาดการณ์ในการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 2556 และ 2557 ในอัตราร้อยละ 22 และ 23 ตามลาดับ และจะมีการตัดลดค่าใช้จ่ายประมาณ 10 พันล้านยูโร

ผลกระทบต่ออิตาลี

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้อิตาลีถูกจับตามองว่าอาจจะประสบปัญหาอย่างประเทศกรีซ และไอร์แลนด์ เพราะระบบเศรษฐกิจอิตาลีเจริญเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป แต่ Mr. Giulio Tremonti รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอิตาลี ได้เปิดเผยในที่ประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ว่าจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับกรีซ ไอร์แลนด์ นั้น อิตาลียังถือเป็นประเทศที่แข็งแกร่งซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การออมของประชาชนที่สูง ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง การเกษียณอายุการทำงาน งาน ครอบครัว จำนวนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่สูงและภาคการบริการที่ต่า และการระมัดระวังในการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาล

จากการสำรวจของสถาบัน Credit Suisse เปิดเผยว่า ครอบครัวอิตาลีเป็นครอบครัวที่รวยเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศสมาชิก G7 รองจากประเทศฝรั่งเศล และรวยเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยครอบครัวชาวอิตาเลียนจะรักการออมเป็นสาคัญและเน้นการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ นักเขียนข่าวจากหนังสือพิมพ์ 24 ore ของอิตาลี ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจที่ขายดีที่สุดในอิตาลี มีความเห็นว่าอิตาลีมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวช่วยให้ไม่ต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเหมือนกรีซและไอร์แลนด์ได้แก่

1) ความร่ำรวยของครอบครัวชาวอิตาเลียน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อิตาลีแตกต่างไปจากประเทศอื่น กอปรกับระบบธนาคารอิตาลีที่แข็งแกร่ง ระมัดระวังในการปล่อยกู้

2) หนี้สาธารณะจากนอกประเทศ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 รัฐบาลอิตาลีมีหนี้สินที่กู้จากต่างประเทศจำนวน 837 พันล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าประเทศเยอรมัน (จำนวน 978 พันล้านยูโร) และฝรั่งเศส (จำนวน 1,037 พันล้านยูโร)

3) อัตราการว่างงาน อิตาลีและเยอรมันมีอัตราการว่างงานต่ำที่สุด โดยประเทศที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดได้แก่ สเปน ไอร์แลนด์ และกรีซ

4) การปล่อยกู้ของธนาคารอิตาลีในต่างประเทศ จากข้อมูลของธนาคาร Deutsche เปิดเผยว่า ธนาคารของอิตาลีมีการปล่อยกู้แก่ประเทศ กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส เพียง 26 พันล้านยูโร โดยประเทศที่มีการปล่อยกู้มากที่สุดแก่ 3 ประเทศดังกล่าว ได้แก่ เยอรมัน (จำนวน 213 พันล้านยูโร) และฝรั่งเศส (จำนวน 142 พันล้านยูโร)

แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ Telegraph ของประเทศอังกฤษ มีความเห็นว่าอิตาลีมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ตามกรีซ และไอร์แลนด์ อันเนื่องมาจากการเพิ่มผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นกอปรกับความไม่มั่นคงของรัฐบาลในขณะนี้

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมิลาน เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจอิตาลีเจริญเติบโตอย่างช้า ๆ กว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่กับวิกฤตเศรษฐกิจโลกและวิกฤตเศรษฐหนี้ของกรีซที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจอิตาลีไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะลำบากแต่อย่างไร การที่อิตาลีถูกจับตามองว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในภาวะลำบากเหมือนกรีซและไอร์แลนด์ อันเนื่องมาจากภาครัฐบาลมีหนี้สาธารณะที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจอิตาลียังคงขับเคลื่อนไปได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญได้แก่ การออมของประชาชนอยู่ในระดับสูง หนี้จากประชาชนและภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานยุโรป การขาดดุลการคลังค่อนข้างต่ำ โดยหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนึ้ที่เกิดในขึ้นภายประเทศ ไม่ได้กู้เงินจากภายนอกประเทศ ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง จึงส่งผลให้รัฐบาลอิตาลีสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และการปล่อยกู้ให้แก่ประเทศกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกสมีจำนวนต่ำ

2.ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

                    เทียบกับไตรมาส 2 ปี 53           เทียบกับไตรมาส 3 ปี 52
ไตรมาส 3 ปี 53 (%)           +0.3                          +1.1
ที่มา:Istat

สำนักงานสถิติแห่งชาติอิตาลีได้เปิดเผย ตัวเลขของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอิตาลี (GDP)ไตรมาส 3 ของปี 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เปรียบเทียบจากไตรมาส 2 (+0.5%) และมีอัตราเพิ่มขึ้น 1.1% เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ขณะที่รัฐบาลอิตาลีได้คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอิตาลีในปี 2553 และปี 2554 จะเพิ่มขึ้น 1.2% ในขณะที่ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลของสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ (Centro Studi Confindustria) ได้คาดการณ์ว่า GD Pอิตาลี ในปี 2553 และ 2554 จะเพิ่มขึ้น 1% (จาก +1.2% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา) และจะเพิ่มขึ้น 1.1% (จาก +1.3% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา) ตามลำดับ

3. การผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production)

                    เทียบกับพฤศจิกายน ปี 52           เทียบกับตุลาคม ปี 53
พฤศจิกายน ปี 53 (%)              -                         +0.6
ที่มา :ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ (Centro studi di Confindustria)

การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเดือนพฤศจิกายน 2553 มีอัตราเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะกลับไปเป็นเหมือนก่อนเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ทางผู้ผลิตจะต้องเน้นการส่งออกที่เพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าความต้องการของตลาดภายนอกประเทศยังคงชะลอตัว โดยผู้ผลิตอาจเน้นส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น จีน อินเดีย บราซิล เป็นต้น

4. ผลประกอบการและคำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรม

4.1 ผลประกอบการ

                    เทียบกับตุลาคม ปี 52           เทียบกับกันยายน ปี 53
ตุลาคม ปี 53 (%)            +13.3                       +1

จากข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งชาติอิตาลี ได้เปิดเผยว่า ในเดือนตุลาคมผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมอิตาลีมีอัตราเพิ่มขึ้น 1% เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้น 0.4% จากตลาดภายในประเทศและเพิ่มขึ้น 2.4% จากตลาดต่างประเทศ

เดือนตุลาคมผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมอิตาลีมีอัตราเพิ่มขึ้น 13.3% เปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้น 9.7% จากตลาดภายในประเทศและเพิ่มขึ้น 22.4% จากตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ผลประกอบการระหว่างเดือนมกราคม — ตุลาคมมีอัตราเพิ่มขึ้น 9.8% เปรียบเทียบก้บช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2552

4.2 คำสั่งซื้อ

                    เทียบกับกันยายน ปี 52           เทียบกับสิงหาคม ปี 53
กันยายน ปี 53 (%)           +17.9                        -1.2
คำสั่งซื้อภายในประเทศ
กันยายน ปี 53 (%)           +16.3                        +3.1
คำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
กันยายน ปี 53               +20.9                        -7.8
ที่มา:Istat

เดือนกันยายน 2553 คำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมมีอัตราลดลง 1.2 % โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของคำสั่งซื้อจากตลาดต่างประเทศ

จากข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งชาติอิตาลี พบว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้แก่

1) ภาคการผลิตยานพาหนะขนส่ง +26%

2) ภาคการผลิตโลหะ 24.1%

3) ภาคการผลิตเครื่องจักรกลและเครื่องอุปกรณ์ 21.3%

5. การบริโภค

                    เทียบกับกันยายน ปี 52           เทียบกับสิงหาคม ปี 53
กันยายน ปี 53 (%)            -1.6                        +0.4
ที่มา:สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกรายย่อยแห่งชาติ(Confcommercio)

เดือนกันยายน 2553 การบริโภคของชาวอิตาเลียนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยพบว่าปริมาณการสั่งซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคของครอบครัวอิตาเลียนลดลงร้อยละ 2.8 แต่ความต้องการทางด้านการบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4

ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงห่างไกลจากช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศยังคงแปรผันขึ้นลงไม่แน่นอน ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 ความต้องการบริโภคของครอบครัวชาวอิตาเลียนยังมีตัวเลขที่อ่อนแอ อันเนื่องมาจากรายได้ของครอบครัวที่ไม่เพิ่มขึ้นอีกทั้งชาวอิตาเลียนยังไม่แน่ใจกับภาวะเศรษฐกิจในอนาคต แต่ในทางตรงกันข้ามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และภาคการบริการ มีตัวเลขการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในเดือนตุลาคม

6. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

6.1 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอิตาลี

                              เทียบกับกันยายน ปี 53           เทียบกับตุลาคม ปี 53
ดัชนีความเชื่อมั่น ตุลาคม ปี 53 (จุด)        107.2                      107.7

พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอิตาลี เดือนตุลาคม 2553 ปรับตัวสูงที่สุดนับจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนเหนือของอิตาลีแต่สำหรับทางตอนกลางและตอนใต้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับปรับตัวลดลง

6.2 ความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตอิตาลี

                              เทียบกับกันยายน ปี 53           เทียบกับตุลาคม ปี 53
ดัชนีความเชื่อมั่น ตุลาคม ปี 53 (จุด)         98.6                       99.8
ที่มา: สถาบันเพื่อการวิเคราะห์และศึกษาเศรษฐกิจ(ISAE)

พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตอิตาลี เดือนตุลาคม 2553 ปรับตัวสูงที่สุดนับจากเดือนพฤษภาคม 2551 โดยมีปัจจัยมาจากยอดการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากตลาดต่างประเทศ การทยอยนำสินค้าในสต็อกออกมาจาหน่าย และความหวังในอนาคตอันใกล้ต่อภาคการผลิตอิตาลีจะมีแนวโน้มดีขึ้น

6.3 ความพึงพอใจของชาวอิตาเลียนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ

จากการสำรวจของสถาบันสถิติแห่งชาติอิตาลี (Istat) ในช่วงต้นปี 2553 เกี่ยวกับความพึงพอใจของชาวอิตาเลียนที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งพบว่าร้อยละ 2.8 ของชาวอิตาเลียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก ร้อยละ 48.4 พึงพอใจ และร้อยละ 49.3 ไม่พึงพอใจ โดยตัวเลขความพึงพอใจส่วนใหญ่มาจากทางตอนเหนือ แต่สำหรับทางตอนใต้มีตัวเลขความพึงพอใจน้อยที่สุด

7. การค้าระหว่างประเทศ

(%)            เทียบกับตุลาคม ปี 52           เทียบกับกันยายน ปี 53
การส่งออก
ตุลาคม ปี 53           +17.6                        +1.2
การนำเข้า
ตุลาคม ปี 53           +22.5                        +2.4
ขาดดุลการค้า        2,000 ล้านยูโร

สำหรับการส่งออกและนำเข้าระหว่างเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2553 พบว่า การส่งออกเพิ่มขึ้น 14.7% เปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

(%)                                         เทียบกับพฤศจิกายน ปี 52           เทียบกับตุลาคม ปี 53
การส่งออกสู่ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป
พฤศจิกายน ปี 53                                         +22                        +0.5
การนำเข้าจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป
พฤศจิกายน ปี 53                                       +39.1                        +2.2
ขาดดุลการค้า                                       1,899 ล้านยูโร
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (Istat)

เดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่าตัวเลขการส่งออกและการนำเข้าของอิตาลีแก่ประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกและนำเข้าระหว่างเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2553 พบว่า การส่งออกเพิ่มขึ้น 16.5% และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 28.2% เปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

7.1 การส่งออกของอิตาลี

ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2553 อิตาลีส่งออกไปทั่วโลกคิดเป็นมูลค่า 323,234 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขื้นร้อยละ 9.9

ตลาดส่งออกที่สำคัญทั่วโลก 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 เยอรมัน           มูลค่า 42,147 ล้านเหรียญสหรัฐ +12.2%
          อันดับ 2 ฝรั่งเศส           มูลค่า 37,615 ล้านเหรียญสหรัฐ +10.3%

อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา มูลค่า 19,664 ล้านเหรียญสหรัฐ +13.7%

          อันดับ 4 สเปน             มูลค่า 18,813 ล้านเหรียญสหรัฐ +13.8%

อันดับ 5 สหราชอาณาจักร มูลค่า 17,486 ล้านเหรียญสหรัฐ +15.7%

          อันดับ 60 ไทย             มูลค่า 837 ล้านเหรียญสหรัฐ +10.2%

สินค้าส่งออกที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 เครื่องจักร         มูลค่า 62,368 ล้านเหรียญสหรัฐ +1.0%
          อันดับ 2 ยานบก            มูลค่า 23,634 ล้านเหรียญสหรัฐ +15.3%

อันดับ 3 เครื่องจักรไฟฟ้า มูลค่า 21,095 ล้านเหรียญสหรัฐ +12.5%

อันดับ 4 เชื้อเพลิง น้ำมันแร่ มูลค่า 16,236 ล้านเหรียญสหรัฐ +46.3%

          อันดับ 5 พลาสติก           มูลค่า 13,953 ล้านเหรียญสหรัฐ +16.5%

7.2 การนำเข้าของอิตาลี

ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2553 อิตาลีมีการนำเข้าจากทั่วโลกคิดเป็นมูลค่า 348,734 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขื้นร้อยละ 16.4

แหล่งนำเข้าที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่

          อันดับ 1 เยอรมัน           มูลค่า 55,223 ล้านเหรียญสหรัฐ +12.1%
          อันดับ 2 ฝรั่งเศส           มูลค่า 29,015 ล้านเหรียญสหรัฐ +11.3%
          อันดับ 3 จีน               มูลค่า 26,660 ล้านเหรียญสหรัฐ +31.3%

อันดับ 4 เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 18,682 ล้านเหรียญสหรัฐ +12.8%

          อันดับ 5 สเปน             มูลค่า 15,306 ล้านเหรียญสหรัฐ +17.7%
          อันดับ 47 ไทย             มูลค่า 1,290 ล้านเหรียญสหรัฐ +24.4%

สินค้านำเข้าที่สาคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่

อันดับ 1 เชื้อเพลิง น้ำมันแร่ มูลค่า 65,723 ล้านเหรียญสหรัฐ +23.9%

          อันดับ 2 ยานบก            มูลค่า 30,720 ล้านเหรียญสหรัฐ +3.4%
          อันดับ 3 เครื่องจักร         มูลค่า 29,545 ล้านเหรียญสหรัฐ +11.0%

อันดับ 4 เครื่องจักรไฟฟ้า มูลค่า 29,455 ล้านเหรียญสหรัฐ +27.5%

อันดับ 5 เหล็ก และเหล็กกล้า มูลค่า 14,158 ล้านเหรียญสหรัฐ +51.8%

7.3 การส่งออกมาไทย

ในระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2553 ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 60 ของอิตาลี อิตาลีส่งออกมาไทยมีมูลค่า 837 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.2 %เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าที่อิตาลีส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้น ได้แก่

          - เครื่องจักร                               +4.0%
          - เครื่องจักรไฟฟ้า                           +9.3%
          - รัตนชาติ โลหะมีค่า                         +25.7%
  • อุปกรณ์และเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ +49.0%
          - พลาสติก                                 +30.4%

สินค้าที่อิตาลีส่งออกมาไทยลดลง ได้แก่

          - ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า                 -7.5%
          - เหล็ก และเหล็กกล้า                        -35.2%
          - เคมีภัณฑ์อินทรีย์                            -21.1%

7.4 การนำเข้าจากไทย

ในระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2553 ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 47 ของอิตาลี ซึ่งอิตาลีนำเข้าจากไทยมีมูลค่า 1,290 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.4% เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าที่อิตาลีนำเข้าเพิ่มขึ้นจากไทย ได้แก่

          - เครื่องจักร                     +50.5%
          - ยาง                          +75.5%
          - เครื่องจักรกลไฟฟ้า               +48.5%
          - ยานบก                        +56.0%
          - รัตนชาติ โลหะมีค่า               +45.7%

สินค้าทิ่อิตาลีนำเข้าลดลงจากไทย ได้แก่

          - ปลาและอาหารทะเล              -6.7%
  • ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา -31.7%
          - เครื่องแต่งกายถักแบบนิต           -7.5%

ที่มา: World Trade Atlas

8. การลงทุนระหว่างประเทศ

จากข้อมูลของ สถาบันแห่งชาติอิตาลีสำหรับการค้าในต่างประเทศ (ICE) ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มของการลงทุนของบริษัทอิตาลีในต่างประเทศ และการลงทุนจากบริษัทต่างประเทศในอิตาลี ระหว่างปี 2550-2551 การลงทุนของบริษัทอิตาลีในต่างประเทศมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 โดยมีจำนวนประมาณ 23,000 บริษัท และจำนวนของพนักงานกว่า 1,350,000 ราย

การลงทุนของบริษัทอิตาลีในต่างประเทศ (ถึง 1 มกราคม 2553) แบ่งได้ดังนี้

1.1 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป15 จานวน 9,346 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 41 ของบริษัทอิตาลีทั้งหมดที่ลงทุนในต่างประเทศ

1.2 ยุโรปกลางและตะวันออก จานวน 4,040 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 17

1.3 อเมริกาเหนือ จำนวน 2,592 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 11.4

1.4 ลาตินอเมริกา จำนวน 1,993 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 8.8

1.5 เอเชียและกลุ่มประเทศมหาสมุทรแปชีกฟีก จำนวน 2,215 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 9.8 โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการลงทุนในประเทศจีน จำนวน 1,030 บริษัท

ในปี 2551 พบว่าจำนวนของบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในอิตาลีมีจำนวน 7,600 บริษัท ซึ่งมีจำนวนพนักงานกว่า 932,000 ราย ในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศมีจำนวน 4,200 ราย (ประมาณ 3,000 ราย มาจากประเทศในยุโรป)

9. อัตราเงินเฟ้อ (Inflation rate)

                    เทียบกับพฤศจิกายน ปี 52           เทียบกับตุลาคม ปี 53
พฤศจิกายน ปี 53 (%)           +1.7                         0.0
ที่มา: Istat

จากข้อมูลของ Istat พบว่าเดือนพฤศจิกายน 2553 อัตราเงินเฟ้อคงที่เหมือนเดือนตุลาคม โดยสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นและลดลงในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่

1. การสื่อสาร +0.7% เทียบจากเดือนก่อนหน้า และ -1.6% เทียบจากปีก่อนหน้า

2. ที่อยู่อาศัย ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน +0.4% เทียบจากเดือนก่อนหน้า

3. การบริการด่านร้านอาหาร -1.% เทียบจากเดือนก่อนหน้า

4. การขนส่ง -0.1% เทียบจากเดือนก่อนหน้า +3.3% เทียบจากปีก่อนหน้า

5. สุรา ยาสูบ +3.9% เทียบจากปีก่อนหน้า

10. ตลาดแรงงาน

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจอิตาลีจะฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างช้าๆ แต่ตลาดแรงงานในอิตาลียังคงต้องเผชิญปัญหาของอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและการจ้างงานที่ลดลง

10.1 อัตราการว่างงาน

                              กันยายน ปี 53           ตุลาคม ปี 53
อัตราการว่างงานทั้งหมด (%)           8.4                   8.7
ที่มา : Istat

เดือนตุลาคม 2553 พบว่าเป็นเดือนที่มีอัตราการว่างงานสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 แต่ก็ยังถือว่ามีอัตราที่ต่ำกว่ามาตรฐานของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประมาณ 2 จุด ส่วนไตรมาส 3 ปี 2553 อัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 8.3 (ไตรมาส 2 มีอัตราร้อยละ 8.4) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อัตราการว่างงานลดลงนับจากช่วง 7 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี อัตราการว่างงานร้อยละ 24.7

ในขณะที่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลของสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ (Centro Studi Confindustria) ได้คาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานของอิตาลีในปี 2554 อาจมีอัตรา 9% และจะเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ ในปี 2555 โดยจำนวนของผู้ว่างงานในเดือนตุลาคม 2553 มีจำนวน 2,167 ล้านคน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าเดือนเมษายน 2550 ถึงสองเท่า

10.2 การจ้างงาน

                              เทียบกับไตรมาส 3 ปี 52           เทียบกับไตรมาส 2 ปี 53
การจ้างงาน ไตรมาส 3 ปี 53 (%)           -0.8                          -0.2
ที่มา : Istat

จากข้อมูล สถาบันสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่าจำนวนการจ้างงานในไตรมาส 3 ปี 2553 มีจำนวนลดลงกว่า 176,000 ตำแหน่ง ซึ่งจำนวนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานแบบตลอดชีพ

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลของสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ (Centro Studi Confindustria) ได้เปิดเผยว่า ในปี 2553 การจ้างงานมีอัตราลดลงร้อยละ 1.7 (โดยปี 2552 มีอัตราลดลง 2.6) ส่วนปี 2554 มีอัตราเพิ่ม-ขึ้นร้อยละ 0.1 และจะเริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2555 ร้อยละ 0.9

10.3 การลดชั่วโมงการทำงาน

สถาบันประกันสังคมแห่งชาติอิตาลี (Istituto Nazionale Previdenza Sociale-INPS) ได้เปิดเผยถึงจำนวนบริษัทที่ได้ลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานลงอันเนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น เดือนตุลาคม 2553 พบว่า มีจำนวน 100,8 ล้านชั่วโมง (-2.3%) เปรียบเทียบกับเดือนกันยายน นอกจากนี้ ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 มีจำนวน 925,7 ล้านชั่วโมง เพิ่มขึ้น 50.5% (614,9 ล้านชั่วโมงระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2552)

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมิลาน

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ