สเปน : ตลาดค้าปลีกสินค้าของชำ (GROCERY RETAILERS IN SPAIN)

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 25, 2011 11:28 —กรมส่งเสริมการส่งออก

สเปน : ตลาดค้าปลีกสินค้าของชำ (GROCERY RETAILERS IN SPAIN)

  • ในปี ๒๕๕๓ ยอดจำหน่ายของร้านค้าปลีกสินค้าของชำมีมูลค่า 94,300 ล้านยูโร ปรับตัวลดลงร้อยละ 1 จากปีที่ผ่านมา
  • จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการประหยัดค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
  • จำนวนร้านค้าปลีกสินค้าของชำลดลงร้อยละ 2 เหลือ 155,355 ร้าน
  • บริษัท Mercadona SA เป็นผู้นำของตลาดค้าปลีกสินค้าของชำ มีสัดส่วนร้อยละ 16 ของมูลค่ารวม
  • จากบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้ออำนวย คาดว่ายอดจำหน่ายโดยรวมจะยังปรับตัวลดลงอีกเล็กน้อยในอนาคตอันใกล

แนวโน้ม

ตลอดปี 2553 จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในตลาดการค้าปลีกของชำ ผู้ค้าเกือบทุกรายต้องหันมาใช้นโยบายขายสินค้าราคาถูกในการแข่งขัน ไม่เว้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเช่นกัน โดยมีช่องทางที่จะเพิ่มยอดจำหน่ายของตนได้ก็ด้วยการบริหารจัดการเพื่อให้ลูกค้าสามารถลดค่ใช้จ่ายในการจับจ่ายโดยเฉลี่ยลงได้ รวมทั้งต้องมีทำเลที่เหมาะสม

ซุปเปอร์มาร์เก็ตยังเป็นรูปแบบธุรกิจหลักของร้านค้าปลีกสินค้าของชำ โดยมียอดจำหน่ายรวม 44,300 ล้านยูโร เนื่องจากมีจุดเด่นที่ถูกใจผู้บริโภคในด้านความสะดวกสบาย มีที่ตั้งอยูในระยะทางที่ไม่ไกล มีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลายโดยเฉพาะสินค้าของชำ รวมทั้งนำเสนอสินค้าในราคาประหยัด จากสถิติในปี 2552 พบว่จำนวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 แต่มียอดซื้อโดยเฉลี่ยลดลงร้อยละ 3.5 โดยมีเรื่องทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้เป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยที่สุด ซึ่งผลจากการทำวิจัยพบวผู้บริโภคชาวสเปนร้อยละ 86.2 เลือกที่จะซื้อสินค้าจากร้านที่อยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน นอกจากนั้นแม่บ้านจำนวนร้อยละ 30 เลือกที่จะไป ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เพราะความสะดวกสบาย

ธุรกิจค้าปลีกแบบให้ส่วนลด (Discounters) หรือธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าฉลาก มีพัฒนาการมากที่สุดของกลุ่ม โดยสามารถเพิ่มยอดจำหน่ายได้ร้อยละ 4 หรือคิดเป็นมูลค่รวม 7,100 ล้านยูโร จากแนวโน้มที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในราคาของสินค้าจะทำให้มีจำนวนร้านค้าประเภทนี้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ปัจจัยด้านที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลก็เป็นเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ขณะนี้ธุรกิจแบบเครือข่ายของเยอรมันภายใต้ชื่อ Lidl และ Aldi เป็นผู้นำของตลาดนี้ที่สามารถเพิ่มยอดจำหน่ยและทวีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

ในปี 2553 ธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตมีแนวโน้มว่าได้รับความนิยมลดลง จากยอดขาย 15,400 ล้านยูโรที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 2 เนื่องมาจากสถานที่ตั้งที่มักจะอยู่ไกลออกไปแถวชานเมือง ซึ่งมีแรงดึงดูดเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการจับจ่ายสินค้าครั้งละมากๆ รวมทั้งนโยบายการลดราคาของซุปเปอร์มาร์เก็ตและธุรกิจค้าปลีกแบบให้ส่วนลด ตลอดจนความต้องการสินค้าเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ย่ำแย่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยลบต่อธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้งนี้ ตลอดปีมีการขยายจำนวนธุรกิจประเภทนี้ เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 2 แหงเท่านั้น ขณะที่ผู้นำในตลาดอย่ง Carrefour มีแผนจะลดจำนวนร้านค้าลงร้อยละ 25

ถึงแม้ยอดจำหน่ายสินค้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตจะปรับลดลงร้อยละ 1 ในปี 2553 แต่ในแง่ของปริมาณแล้วกลับเพิ่มขึ้น สาเหตุก็เนื่องมาจากสงครามตัดราคาสินค้าระหว่างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกสินค้าราคาประหยัดภายใต้ตราสินค้าของตนเองและการลดอัตรากำไรเพื่อหวังครองส่วนแบ่งตลาดให้มากที่สุด ทั้งนี้ ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีผลประกอบการที่ดีจะมีพื้นที่มากกว 1,000 ตารางเมตรขึ้นไปที่สามารถนำเสนอความหลากหลายของสินค้าได้เช่นเดียวกับไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลอดทั้งปีมีการขยายจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้น 26 แห่ง ทั้งนี้ การเปิดธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต แถมยังมีความยุ่งยากในการขอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจน้อยกวด้วย

สินค้าที่ไม่ใช่อาหารก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่ใช่สิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ติดตราสินค้าของตนเองก็มียอดจำหน่ายสูงขึ้นร้อยละ 3.3 ในหมวดสินค้าสำหรับทำความสะอาด และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ในหมวดสินค้าของใช้ในห้องน้ำและสินค้าที่ใช้ในการดูแลตนเอง

ส่วนธุรกิจประเภทร้านสะดวกซื้อ ไม่ได้รับความนิยมมากนักในสเปน ซึ่งจุดเด่นของธุรกิจประเภทนี้คือช่วงเวลาที่เปิดบริการมีความสะดวกกับลูกค้ามากกว่ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบอื่น แต่เนื่องจากซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกแบบส่วนลดทั่วไปของสเปนก็เปิดบริการยาวนานกว่ปกติอยู่แล้วตั้งแต่09.00 น. จนถึง 21.00 น. ดังนั้น ราคาสินค้าที่แพงกว่เพื่อแลกกับความสะดวกสบายของร้านสะดวกซื้อจึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการแข่งขัน

ยอดจำหน่ายของร้านขายของชำตามสถานีบริการเชื้อเพลิง (Forecourt retailers) ในปี 2553 มีมูลค่ 1,200 ล้านยูโร ลดลงร้อยละ 6 เนื่องมาจากไม่สามารถแข่งขันได้ในแง่ของราคาหรือความหลากหลายของสินค้า รวมทั้งประชาชนมีแนวโน้มใช้รถยนต์น้อยลงและพยายามตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป

ธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติมีส่วนแบ่งร้อยละ 19 ของยอดขายทั้งปีและมีผลประกอบการดีกว่ธุรกิจค้าปลีกประจำชาติ โดยสามารถเติบโตได้ร้อยละ 0.3 จากปีที่ผ่านมา เครือข่ายธุรกิจค้าปลีกแบบส่วนลด

จากเยอรมนีชื่อ Aldi และ Lidl เริ่มต้นธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวหมู่เกาะคานารีและขยายตัวได้อย่างรวดเร็วส่วนรูปแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตของ Mercadona เป็นผู้นำและยังยืนหยัดได้อย่างมั่นคง และธุรกิจค้าปลีกแบบเครือข่ยในภูมิภาคอย่งเช่น Condis Consum และ Coivaran ก็มีผลประกอบการที่ดี แตตรงข้ามกับธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ Carrefour กลับมีผลประกอบการขาดทุน

ร้านค้าปลีกยาสูบครองสัดส่วนยอดจำหน่ยที่สำคัญในธุรกิจประเภทร้านค้าปลีกแบบคละสินค้าระหว่างหมวดอาหาร/เครื่องดื่ม/ยาสูบ ถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าลดลงร้อยละ 2 เหลือ 21,000 ล้านยูโรก็ตามสาเหตุหลักมาจากการปรับราคายาสูบที่เพิ่มขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม ชาวสเปนยังคงมีความต้องการบริโภคยาสูบสูงอยู่ต่อไปซึ่งตรงข้ามกับแนวโน้มของประเทศอื่นๆในยุโรปที่มีการบริโภคลดลง

อนาคตของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่และแบบดั้งเดิม

ปัจจุบันนี้ รูปแบบธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ได้เข้ามาครอบครองตลาดค้าปลีกของสเปนอย่างสมบูรณ์แล้ว เนื่องจากมีเครือข่ายที่ครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศและมีคู่แข่งขันหลายรายในตลาด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากประเทศอื่นๆในยุโรป

ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมก็ยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ โดยเฉพาะร้านค้าเนื้อสัตว์และผลไม้ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกรายย่อยของชาวจีนและชาวปากีสถาน ที่บริหารงานโดยตัวเจ้าของเอง และใช้ลูกจ้างภายในกลุ่มสังคมทางเชื้อชาติของตนเองสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยกลกลยุทธ์ รวมตัวกันเพื่อต่อรองในการซื้อสินค้าครั้งละปริมาณมากจากผู้กระจายสินค้าทำให้มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนั้น ยังเปิดร้านยาวนานกว่าร้านค้าอื่นๆ กล่าวคือ เปิดบริการไปจนถึงเที่ยงคืน รวมทั้งในวันอาทิตย์ที่ถือเป็นวันหยุด หรือเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจร้านสะดวกซื้อแบบกลายๆนั่นเอง แต่อย่งไรก็ตามในภาพรวมของธุรกิจแบบดั้งเดิมมีแนวโน้มจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเป็นลำดับ

ความอยู่รอดของธุรกิจแบบดั้งเดิมของสเปนขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายที่บังคับให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ต้องได้ใบอนุญาตใบที่สองจากองค์กรบริหารระดับภูมิภาคในการอนุญาตให้เปิดร้านค้าที่มีพื้นที่เกินกว่ 2,000 ตารางเมตรได้ แต่กฎระเบียบนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วเริ่มจากแคว้นมาดริดตั้งแต่ปี 2552 และคาดว่าจะยกเลิกทั่วประเทศในปี 2553 โดยจะใช้กฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการค้าปลีกที่จะอนุญาตให้เปิดธุรกิจใหม่ได้ง่ายขึ้นและไม่ต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่อีกต่อไป

การแข่งขัน

บริษัท Mercadona SA เป็นผู้นำของตลาดค้าปลีกสินค้าของชำของปี 2553 มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 16 ของมูลค่ยอดจำหน่ยรวม โดยใช้นโยบายการขายสินค้าราคาถูกท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบกับการขยายกิจการและความเข้มแข็งของสินค้าที่ติดตราสินค้าของตน บริษัท Centros Comerciales Carrefour SA ตามมาเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วนร้อยละ 7 ซึ่งมีผลประกอบการที่ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากสงครามการตัดราคาของธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งการแผ่ขยายธุรกิจของคู่แข่งอย่ง Lidl และ Mercadona ตลอดจนภาวะวิกฤติของธุรกิจประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตเอง ดังนั้น Carrefour ต้องหันมาใช้กลยุทธ์ห้ำหั่นราคาไปด้วยและเน้นจำหน่ยสินค้าภายใต้ตราสินค้าของตนเองมากขึ้น ชื่อ Carrefour Discount นอกจากนั้น ได้ปรับปรุงส่วนที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตใหม่ โดยใช้ชื่อว่า Carrefour Market ขณะเดียวกันก็ปรับรูปแบบธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตของตนไปด้วย

Lidl เป็นกิจการที่มีการขยายตัวมากที่สุดของปี 2553 โดยเติบโตถึงร้อยละ 10 ด้วยมูลค่าการจำหน่ย 2,500 ล้านยูโร ภายใต้กลยุทธ์การขยายจำนวนสาขาออกไปอีกถึง 12 แห่ง พร้อมทั้งนำเสนอสินค้าราคาประหยัดและขยายความหลากหลายมากขึ้น นอกจากนั้น ยังออกแบบรูปโฉมร้านค้าใหม่ด้วย โดยใช้นวัตกรรมในรูปแบบใหม่ที่นำมาปรับใช้และทดสอบกับร้านสาขาในหมู่บ้าน Motril ของเมือง Granada ที่มีพื้นที่ขนาด 1,200 ตารางเมตร

ผู้ประกอบการรายใหญ่อีกรายที่ประสบปัญหามาหลายปีแล้วคือ Grupo Eroski โดยมียอดจำหน่ายลดลงอีกร้อยละ 4 ในปี 2553 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากสถานะทางการเงินที่สั่นคลอน จากการเข้าซื้อกิจการค้าปลีกแบบเครือข่ายภายใต้ชื่อ Caprabo ในช่วงที่เศรษฐกิจก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยพอดี

บริษัท Grupo el Arbol Distribucion y Supermercados SA เจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตแบบเครือข่ยในชื่อ Galerias Primero กำลังปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อความอยู่รอดโดยปลดแรงงานที่ซ้ำซ้อนและปลดสาขาประมาณ 5 แห่ง

จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ช่องทางการจำหน่ายในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตต้องถึงจุดอิ่มตัว จำนวนร้านค้าที่มากมายในเขตเมืองก่อให้เกิดการแข่งขันรุนแรงขึ้นและจำเป็นต้องทบทวนนโยบายทางการค้าเสียใหม่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ไฮเปอร์มาร์เก็ตใหม่ๆ จะมีขนาดพื้นที่เฉลี่ยเล็กลงจากการบริหารจัดการอย่างระมัดระวังและเลี่ยงการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ จะเห็นได้ชัดว่าจำนวนร้านค้าเปิดใหม่ได้ลดจำนวนลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่นๆมา ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะหันไปให้ความสำคัญกับยอดจำหน่ายต่อตารางเมตรมากกว่า

โอกาส

ระดับราคายังคงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคอีกต่อไป ถึงแม้ว่าสภาพทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง ก็เชื่อว่าจะยังไม่มีผลมากนักกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่วนปัญหาการว่างงานก็ไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววัน ดังนั้นพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าราคาปะหยัดจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ซุปเปอร์มาร์เก็ตจะยังเป็นช่องทางการจำหน่ยหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยขณะเดียวกันธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตก็จะมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจต่อไป ส่วนร้านค้าปลีกแบบส่วนลดจะมีการปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่ใกล้เคียงซุปเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น

ร้านค้าปลีกแบบส่วนลดจะเป็นรูปแบบธุรกิจที่จะสร้างยอดขายได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ประมาณร้อยละ 4 จากปัจจุบันไปถึงปี 2558 จากปัจจัยด้านราคาและการปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวเองนำเสนอสินค้าในวงกว้างขึ้นจะช่วยให้สามารถเจริญเติบโตต่อไปทั้งในแง่ของยอดขาย จำนวนร้านค้า และพื้นที่จำหน่ายสินค้า โดยคาดว่าจะมียอดจำหน่ายรวมมีมูลค่าประมาณ 8,400 ล้านยูโรในปี 2558

นอกจากกลยุทธ์ในด้านราคาแล้ว ช่องทางการจำหน่ายก็จะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น กล่าวคือ ก้าวไปสู่รูปแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง ซึ่งธุรกิจค้าปลีกแบบส่วนลด อย่าง Dia, Lidl และ Aldi กำลังปรับตัวโดยขยายความหลากหลายของตราสินค้าพร้อมทั้งนำเสนอสินค้าอาหารสดเพิ่มขึ้น

ร้านค้าของชำรายย่อยจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลที่แผ่ขยายของระบบค้าปลีกสมัยใหม่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาและการนำเสนออาหารสดของร้านค้าเนื้อ ปลา หรือผลไม้ จะด้อยกว่ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าปลีกแบบส่วนลด

ร้านค้าปลีกตามสถานีบริการเชื้อเพลิงคาดว่าจะหดตัวลงอีกร้อยละ 2 ในอีกห้าปีข้างหน้า เนื่องจากสินค้าที่ผู้บริโภคจะซื้อจากแรงกระตุ้นนั้นไม่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และประชาชนจะประหยัดและจำกัดการเดินทางด้วยรถยนต์มากขึ้น

ร้านค้าปลีกผสมระหว่างอาหาร/เครื่องดื่ม/ยาสูบ คาดวยอดขายจะปรับตัวลดลงอีกประมาณร้อยละ 2 ในอีกห้าปีข้างหน้า เป็นเพราะราคายาสูบจะถูกปรับเพิ่มภาษีขึ้นอีกตามนโยบายของรัฐบาลและข้อกำหนดของสหภาพยุโรป

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงมาดริด

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ