วันที่ 30 มกราคม 2554 สื่อประเทศอังกฤษรายงานว่า ขณะนี้ธุรกิจค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือยในอังกฤษกำลังเตรียมการเพื่อเจรจาหารือกับภาครัฐบาล ให้ปล่อยวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้เข้าประเทศอังกฤษง่ายขึ้น ความยุ่งยากของการขอวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษทำให้นักช้อปชาวจีนเปลี่ยนเป้าหมายการเดินทางจากกรุงลอนดอนเป็นเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่มีสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำอื่น ๆ เช่น กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี แทน
จากข้อมูลสถิติล่าสุดขององค์กร Global Blue (การรวมตัวของผู้จำหน่ายสินค้าเพื่อจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีหรือ Tax free shopping ที่เริ่มต้นในประเทศสวีเดน และต่อมามีการขยายไปในหลายประเทศทั่วโลก) พบว่า ปี 2553 นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายในประเทศอังกฤษมากกว่า 350 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 560 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักช้อปชาวจีนที่จับจ่ายสินค้าปลีกในอังกฤษอยู่ที่ประมาณ 600 ปอนด์ (หรือประมาณ 950 เหรียญสหรัฐฯ) ในขณะที่ผู้บริโภคชาวอังกฤษเองควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีกในอังกฤษมีความเห็นว่า ถ้าหากนักท่องเที่ยวจีนได้รับวีซ่าเดินทางเข้าประเทศอังกฤษได้ง่ายขึ้น อังกฤษจะมีรายได้จากนักช้อปชาวจีนมากกว่าจำนวนดังกล่าวแน่นอน
ความยุ่งยากของขั้นตอนการขอวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเบนเป้าหมายไปขอวีซ่าเข้าประเทศแถบยุโรปในความตกลงเชงเกนแทน (Schengen Visa) จากข้อมูลรายงานของ Financial Times ของอังกฤษ ในปี 2552 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศอังกฤษเพียง 220,000 คน ในขณะที่เดินทางเข้าประเทศในความตกลงเชงเกนถึง 2 ล้านคน นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการห้างสรรพสินค้า Harrods นาย Michael Ward ยังได้ให้ข้อมูลว่าปี 2553 ผู้ประกอบการในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีรายได้จากนักช้อปชาวจีนถึง 500 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ห้างสรรพสินค้า Harrods ได้เตรียมการจัดตั้งตัวแทนเข้าเจรจากับภาครัฐเพื่อหารือในเรื่องการให้วีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนดังกล่าว โดยการเตรียมเจรจาหารือครั้งนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าฟุ่มเฟือยแบรนด์ดังระดับประเทศกว่า 160 แบรนด์
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครเฉิงตู
ที่มา: หนังสือพิมพ์เฉิงตูซางเป้า (Cheng Du Shang Bao)
ที่มา: http://www.depthai.go.th