สถานการณ์สินค้าอิเล็คทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น เดือนกุมภาพันธ์ 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday February 17, 2011 15:38 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ภาวะการตลาดสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่น

1.1 สมาคมอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์แห่งญี่ปุ่น (SEAJ) ได้ประกาศผลเกี่ยวกับการคาดการณ์สถานการณ์ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ภายใน 3 ปีนี้ โดยคาดว่าตลาดต้นปีงบประมาณ 2553 (เมษายน 2553 ถึงมีนาคม 2554) ยอดจำหน่ายได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึงแม้ว่าการปรับตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆแต่คาดว่าตลาดจะเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ส่วนปีงบประมาณ 2554 และ 2555 คาดว่าตลาดจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยยอดจำหน่ายทั่วโลกของบริษัทญี่ปุ่นในปีงบประมาณ 2553 คาดการอยู่ที่ 1.24 พันล้านเยน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 90.3 จากปี 2552 โดยอัตราการเติบโตของยอดจำหน่ายในปี 2554 จะอยู่ที่ร้อยละ 4.5 มูลค่า 1.29 พันล้านเยน และ อัตราการเติบโตในปี 2555 จะอยู่ที่ร้อยละ 10 มูลค่า 1.42 พันล้านเยน

ส่วนยอดจำหน่ายในประเทศของผู้ผลิตญี่ปุ่น และต่างชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 85.6 มูลค่า 395 พันล้านเยนในปี 2553 (ถึงมีนาคม 2554) ส่วนอัตราการเติบโตของยอดจำหน่ายในปี 2554 จะอยู่ที่ร้อยละ 4.1 มูลค่า 411 พันล้านเยน และ อัตราการเติบโตในปี 2555 จะอยู่ที่ร้อยละ 1 มูลค่า 416 พันล้านเยน

1.2 บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีกำไรจากความต้องการซื้อเครื่องปรับอากาศเพื่อรับคลื่นร้อนในปี 2553 รวมทั้งมาตรการสนับสนุนการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานของรัฐบาลเช่น บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค มีกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2010 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 230 โดยการขายเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็นที่มีราคาสูง โดยรุ่นท็อปสุดจะมีราคาสูงกว่าราคาในตลาดประมาณ 10,000-20,000 เยน สินค้าของบริษัทขายดีเนื่องจากเน้นการใช้งานง่ายเหมาะกับกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนโตชิบาจะเน้นการประหยัดเวลาเป็นจุดขาย เช่นตู้เย็นที่สามารถแช่แข็งผักได้โดยไม่จำเป็นต้องนำไปลวกก่อน และเครื่องซักผ้าที่สามารถซักผ้าจำนวนน้อยๆได้ในเวลาที่รวดเร็ว ระดับราคาสินค้าของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นตู้เย็น และ เครื่องซักผ้ามีราคาคงที่หรือสูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับราคาของโทรทัศน์จอแบนที่ตกฮวบลงมาอย่างเห็นได้ชัด

จากการที่ตลาดในประเทศระยะกลาง และยาวจะหดตัว บริษัทญี่ปุ่นยังไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างซัมซุงในตลาดโลกได้ โดยฮิตาชิ และโตชิบามียอดขายเพียงร้อยละ 20 ส่วนมิตซูบิชิมีเพียงร้อยละ 10 นักวิเคราะห์กล่าวว่าผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าควรหันมาใช้การผลิตแบบ OEM เพื่อรักษาตลาดต่างประเทศไม่เพียงแต่ในเอเชีย หากรวมทั้งสหรัฐอเมริกา และยุโรปด้วย

2. ความเคลื่อนไหวของสินค้า

2.1 บริษัท Aeon ร่วมมือกับบริษัท Sharp พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก (tablet PC) เพื่อกลุ่มแม่บ้าน และผู้สูงอายุ โดยแค่กดปุ่มเพียงครั้งเดียวคอมพิวเตอร์นี้จะเชื่อมต่อกับเว็ปไซต์ซื้อของโดยสามารถสั่งซื้อสินค้า และจัดส่งได้ภายในวันเดียวกัน รวมทั้งอาหารสด และอื่นๆ และมีตัวหนังสือขนาดใหญ่ทำให้อ่านได้สะดวกเป็นจุดขายสำหรับผู้สูงอายุ คาดว่าจะจำหน่ายได้จำนวน 50,000-60,000 เครื่องในปีแรก ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดราคาขาย แต่ Aeon ตั้งใจว่าจะอยู่ที่ต่ำกว่า 50,000 เยน

2.2 บริษัท Fujitsu และ NEC กลับมาบุกตลาด supercomputer อีกครั้งหนึ่ง โดยหวังกลุ่มลูกค้าเป็นหน่วยงานภาครัฐ ในเอเชีย และยุโรป โดยเฉพาะsupercomputer ที่สามารถวิเคราะห์การเกิดอุบัติเหตุ พยากรณ์อากาศ และ ผลิตยาชนิดใหม่ๆ Fujitsu ได้ส่ง supercomputer ที่ราคาค่อนข้างถูกให้กับ หน่วยงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโยี่ ของสิงคโปร์ และหวังว่าจะขาย supercomputer ที่ออกแบบให้สามารถพยากรณ์อากาศให้กับหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาหลายประเทศในยุโรป ส่วน NEC จะออกรุ่นใหม่ SX-9 สำหรับพยากรณ์อากาศเช่นกัน โดยรุ่นใหม่จะประกอบด้วย CPU ที่กำลังพัฒนาให้ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ 2-4 เครื่อง

2.3 กระทรวงการสื่อสารญี่ปุ่นวางแผนที่จะติดตั้ง smart meter ที่บ้านพักอาศัยจำนวน 50 ล้านหลังภายในปี 2020 โดยมิเตอร์รุ่นใหม่จะสามารถบอกจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านในขณะนั้น การติดตั้งมิเตอร์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ในเวลากลางวันผู้อาศัยสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และสามารถต่อท่อจากบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเติมกระแสไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในเวลากลางคืน บริษัท Tokyo Electric Power กำหนดจะติดตั้ง smart meter ที่บ้านในเขตโตเกียว จำนวน 90,000 หลังภายในปี 2556 ส่วน Kansai Electric Power ได้ติดตั้งที่บ้านในเขตโอซากาแล้วจำนวน 640,000 หลัง

3. ความเคลื่อนไหวของบริษัท

3.1 บริษัท JVC Kenwood จะหยุดทำการผลิตโทรทัศน์ ภายหลังจากลดปริมาณการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย โดยบริษัทได้เริ่มผลิตโทรทัศน์ในไทยตั้งแต่ปี 2532 จำหน่ายในประเทศและส่งไปยังซาอุดิ อาระเบีย และประเทศอื่นๆในตะวันออกกลาง แต่จะยังคงผลิตกล้องสำรวจ อุปกรณ์ภาพ และจะเริ่มผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ในไทย คาดว่าจะมีการลดคนงานจากปัจจุบันจำนวน 600 ราย ทั้งนี้บริษัทได้หยุดการผลิตโทรทัศนที่ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ในปี 2551 และหยุดการผลิตที่เม็กซิโก ในปี 2553

3.2 บริษัท Hitachi GST จะย้ายฐานการผลิตจานแม่เหล็ก (Magnetic Disk) ทั้งหมดไปยังโรงงานผลิตที่เมืองเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554 โดยจะผลิตสินค้าป้อนให้กับโรงงานประกอบฮาร์ดไดร์ฟที่เมืองเสิ่นเจิ้น และโรงงานผลิตฮาร์ดดิสค์ในประเทศไทย จากการที่บริษัทเน้นการผลิตที่เสิ่นเจิ้นทำให้สามารถส่งจานแม่เหล็กไปยังโรงงานประกอบได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งได้

3.3 บริษัท Fujitsu Ten จะพัฒนาการผลิตระบบนำทางในรถยนต์ (car navigation) ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยบริษัทฯจะผลิตโปรแกรมนำทางที่บริษัทลูก Fujitsu Ten Solutions Philippines ในกรุงมะนิลา ซึ่งผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์โดยจะเริ่มพัฒนาการออกแบบแผนที่ และระบบการควบคุมทั่วไปก่อน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะจ้างบริษัทในอินเดีย จีน และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ พัฒนาโปรแกรมให้เนื่องจากค่าแรงงานต่ำ แต่จะยังคงผลิตภารกิจหลักที่ต้องใช้ความสามารถด้านวิศวกรรมชั้นสูง เช่น การออกแบบโปรแกรมใหม่ๆในญี่ปุ่น

4. ภาวะการส่งออกและนำเข้าสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ของญี่ปุ่น

การส่งออกสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ในเดือนธันวาคม 2553 มีมูลค่า 8.52 แสนล้านเยนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยยอดการส่งออกรวมทั้งปี 2553 มูลค่า 10.34 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 จากปี 2552 สินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นคือ อุปกรณ์เครื่องเสียงเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 มาตรวัดไฟฟ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 98 ส่วนประกอบอิเล็คทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.7 และ เซมิคอนดักเตอร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 ส่วนสินค้าที่ปรับลดลงคือ วีดีโอ ลดลงร้อยละ 2.5 อุปกรณ์สื่อสาร ลดลงร้อยละ 27 เครื่องจักรธุรกิจ ลดลงร้อยละ 33.4 คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ลดลง ร้อยละ 4.3

ส่วนการนำเข้าสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ในเดือนพฤศจิกายน 2553 มีมูลค่า 7.31 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 จากเดือนพฤศจิกายน ปี 2552 โดยยอดการนำเข้ารวมทั้งปี 2553 มูลค่า 7.41 ล้านล้านเยน สินค้าเกือบทุกหมวดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่เพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ อุปกรณ์วิดีโอ เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.5 เซมิคอนดักเตอร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.4 และอุปกรณ์สื่อสาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.5 ส่วนสินค้าที่ปรับลดลงคือ เครื่องจักรธุรกิจ ลดลงร้อยละ 27.1 หลอดไฟลดลงร้อยละ 27.3

สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ นครโอซากา

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ