นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความวิตกกังวลในสถานการณ์ภายในของประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์ เยเมน ลิเบีย อิหร่าน และอิตาลี เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยว่า ได้กำชับให้กรมส่งเสริมการส่งออกสั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของกระทรวงพาณิชย์ (HTA) รายงานถึงสถานการณ์ผลกระทบสินค้าส่งออกของไทยและรีบเร่งเสนอมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด โดยในเชิงรุกให้เข้าไปเจาะถึงความต้องการสินค้าที่ประเทศนั้นมีความต้องการใช้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เพื่อพลิกเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสขยายตลาดส่งออกของสินค้าไทยให้เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคและบริโภค และในเชิงรับมือให้เข้าไปดูถึงสินค้ารายตัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โดยจะต้องดำเนินการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด ส่งเสริมและพัฒนาผู้ส่งออกไทยในการลดต้นทุน โลจิสติกส์ พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาคุณภาพสินค้าพร้อมกับส่งเสริมการออกแบบ รวมทั้งให้กรมฯ ดำเนินการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดหลัก เช่น การจัดโรดโชว์ ส่งเสริมการขายร่วมกับห้างดังต่างๆ และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ
“มาตรการเร่งด่วนที่สุดที่จะต้องทำในขณะนี้คือ ดำเนินการหามาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วงขับไล่ผู้นำในตะวันออกกลางเพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์
แม้ว่าสถานการณ์ภายในของประเทศต่างๆ จะไม่เป็นที่ไว้วางใจ แต่ทางกระทรวงพาณิชย์เองยังมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อมูลค่าการส่งออกมากนัก เพราะได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการส่งออกเร่งดำเนินการหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้เร็วที่สุด ส่วนในระยะกลางและยาว ต้องเร่งพัฒนาการสร้างแบรนด์ การลดต้นทุนโลจิสติกส์ พร้อมทั้งการพัฒนาคุณภาพสินค้าไทยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลเพื่อการค้าอย่างยั่งยืนต่อไป” นางพรทิวา กล่าวเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี นางพรทิวา ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเมื่อเร็วๆ นี้ทางกรมส่งเสริมการส่งออกได้รับคณะของ H.E Mr. Marwan Jassim Al Sarkal, CEO, Shurooq ซึ่งหน่วยงาน Shurooq เป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของรัฐซาจาห์ ประเทศสาธารณรัฐอาหรับอิมิเรตที่มีความต้องการให้ไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เครื่องดื่ม การก่อสร้าง การบริหารจัดการโรงแรม และการลงทุนด้านสุขภาพ ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีในการแสวงหาตลาดใหม่เพื่อเพิ่มเป้าการส่งออกต่อไป
ในปี 2553 (ม.ค.-ธ.ค.) ที่ผ่านมาไทยมีมูลค่าการส่งออกไปตะวันออกกลางถึง 9,668.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 11.49 โดยสินค้าส่งออกสำคัญได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ
ที่มา: http://www.depthai.go.th