“ส่งออก” เปิดตัวสำนักส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออก เน้นย้ำผลักดัน SMEs ไทยสู่สากล พร้อมเซ็นต์ MOU. ความร่วมมือกับญี่ปุ่นขายสินค้าผ่าน เว็บ rakuten.co.jp และเว็บ tarad.com
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดตัวสำนักส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออก ของกรมส่งเสริมการส่งออก พร้อมทั้งเป็นพยานในพิธีลงนามบันทึกขัอตกลงความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และยักษ์ใหญ่ออนไลน์ ราคุเท็น อิงค์ (Rakuten Inc) บริษัทที่ติดอันดับหนึ่งในห้าของโลกรวมถึง www.tarad.com เว็บไซต์ในเครือที่ดำเนินธุรกิจในไทย เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะผลักดันสินค้าและบริการไทยสู่ตลาดญี่ปุ่นและตลาดโลก โดยมีนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก นายพิสิษฐ์ กิจวิริยะ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออก ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และภาคเอกชน เข้าร่วมงานดังกล่าว
นางพรทิวา เผยว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่ากลยุทธ์ในการก่อตั้งสำนักส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออก เพื่อทำให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบาย พร้อมกับการประสานความร่วมมือทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องแบบบูรณาการ ซึ่งจะช่วยขจัดอุปสรรคและปัญหารวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงโอกาสและประโยชน์มากมายทั้งในด้านการรับรู้ข่าวสารและรับบริการ รับการส่งเสริมพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต การบริหารจัดการและการตลาด รวมทั้งการรับสิทธิประโยชน์และความสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การเข้าถึงแหล่งทุน และโอกาสในการพัฒนาเชื่อมโยงเครือข่ายและอื่นๆ
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่าการก่อตั้งสำนักฯ ใหม่นี้ สืบเนื่องจากนโยบายของ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) ที่มุ่งเน้นการสนับสนุน ผลักดัน ช่วยเหลือและสร้างผู้ประกอบการ SMEs รายใหม่เข้าสู่ภาคการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งในการผลักดันการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นทั้งเชิงปริมาณและมูลค่าการค้า และการส่งออกรวมของประเทศได้อย่างมั่นคง กรมส่งเสริมการส่งออกจึงได้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการภายใน เพื่อสอดรับและตอบสนองนโยบายดังกล่าว จนพร้อมให้บริการสมบูรณ์แบบในวันนี้เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้ SMEs
ด้านนายพิสิษฐ์ กิจวิริยะ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออก ได้กล่าวย้ำว่า กรมฯ มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยพัฒนา แนะนำ และสนับสนุน SMEs รายใหม่ๆ ในภาคการส่งออก พร้อมๆ ไปกับการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าและบริการของไทยสู่ผู้บริโภคทั่วโลก เราได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันช่วยพัฒนาผู้ประกอบการของเราให้สามารถแข่งขันได้ และให้ความรู้รอบด้าน ทั้งเรื่องแหล่งทุน กฎเกณฑ์การส่งออก สิทธิประโยชน์ด้านภาษี แนวโน้มของตลาดและอื่นๆ โดยทางกรมฯ จัดให้มีศูนย์บริการ SMEs เพื่อการส่งออกพร้อมทั้งการก่อตั้ง DEP SMEs Club เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเครือข่ายที่ให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำในลักษณะการให้บริการเต็มรูปแบบ
งานเดียวกันนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ได้เป็นตัวแทนกรมส่งเสริมการส่งออกในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับตัวแทนฝ่ายญี่ปุ่น ได้แก่ Mr. Munenori Yamada ประธานองค์การ JETRO Mr. Masatada Kobayashi เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส จาก ราคุเท็น อิงค์ Mr. Toshiya Matsuo ประธานและซีอีโอ ราคุเท็น ประเทศไทย และ นายปวุฒิ พงศ์วิทยาภาณุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท TARAD Dot Com จำกัด
นางนันทวัลย์ เผยว่า กรมฯ จะเร่งพัฒนาด้านตลาดออนไลน์ซี่งจะสามารถช่วยผู้ประกอบการให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยบริษัท ราคุเท็น กรุ๊ป เป็นบริษัทที่ดำเนินุธุรกิจให้บริการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ภายใต้ชื่อเว็บไซต์ยอดนิยมของญี่ปุ่น คือ www.rakuten.co.jp ซึ่งมีเครือข่ายธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก มีสมาชิกเครือข่ายในญี่ปุ่นประมาณ 35,000 รายและมีการซื้อขายสินค้าปีละกว่า 300,000 ล้านบาท ในแต่ละปีจะมีผู้บริโภคเข้ามาชมและเลือกซื้อสินค้าถึง 26 ล้านคนซึ่งหมายความว่าสินค้าไทยจะได้ประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางบนเว็บไซต์นี้ และสำหรับในเมืองไทยผู้บริโภคสามารถหาชมและสั่งซื้อได้ผ่าน www.tarad.com ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน
“ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาภาคการส่งออกของไทยได้มีการขยายตัวเติบโตอย่างน่าพอใจและต่อเนื่อง จากมูลค่าการส่งออกรวม 32,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2535 เป็น 58,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2540 และขยายเพิ่มขึ้นเป็น 153,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2550 และ 195,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2553 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ยังมุ่งหวังผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกของกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งมีธุรกิจอยู่มากกว่า 2.85 ล้านราย และจะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่โอกาสกำลังเปิดกว้างจากผลของการเปิดเสรีทางการค้า และการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างสมบูรณ์อีกในไม่ช้า” นางนันทวัลย์ กล่าวเพิ่มเติม
ที่มา: http://www.depthai.go.th