ตารางแสดงมูลค่าการค้าไทย-สเปน ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554
ก.พ. 2554 ม.ค.-ก.พ. 2554 เพิ่ม/ลด (%) เพิ่ม/ลด (%) จาก มูลค่า (Mil. US$) จากเดือนก่อน มูลค่า (Mil. US$) ช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งออก 110.18 +6.58 213.56 +31.93 นำเข้า 48.41 +24.75 87.21 +27.43 การค้ารวม 158.59 +11.54 300.77 +30.59 ดุลการค้า +61.77 -4.35 +126.35 +35.22 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ไทยกับสเปนมีมูลค่าการค้ารวม 158.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายส่งออกไปสเปน 110.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.58 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดยมีหมวดสินค้าสำคัญที่ปรับตัวเพิ่ม คือ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+68.14%) เม็ดพลาสติก (+77.29%) ผลิตภัณฑ์ยาง (+23.31%) และกุ้งแช่เย็น/แช่แข็ง (+62.83%) แต่ก็มีสินค้าหลักหลายรายการที่ปรับตัวลดลง ไดแก่ ยางพารา (-6.66%) เสื้อผ้าสำเร็จรูป (-13.14%) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-17.82%) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป (-9.64%) ขณะที่นำเข้าจากสเปน มูลค่า 48.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.75 ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้าในเดือนนี้เพิ่มขึ้นอีก 61.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วง 2 เดือนแรก ปี 2554 ไทย-สเปน มียอดการค้ารวม 213.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไทยมียอดส่งออกมาสเปนรวม 213.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.93 ซึ่งสามารถแบ่งโครงสร้างสินค้าส่งออก ได้ดังนี้
ตารางแสดงโครงสร้างสินคาส่งออกไทยมายังสเปน ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554
ที่ ประเภทสินค้า มูลค่า (Mil. USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 เกษตรกรรม(กสิกรรม+ปศุสัตว์+ประมง) 55.5 25.99 +68.38 2 อุตสาหกรรมการเกษตร 11.9 5.56 +59.11 3 อุตสาหกรรม 146.2 68.45 +20.36 รวม 213.6 100.0 +31.93 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
เมื่อเทียบกับช่วง 2 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา พบว่าประเภทสินคาเกษตรกรรม มีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 68.38 และสามารถเพิ่มสัดส่วนมาอยู่ในระดับกว่าร้อยละ 25 อันเนื่องมาจากตลาดมีความต้องการยางพาราเพิ่มสูงมาก เช่นเดียวกับความต้องการบริโภคสินค้ากุ้งแช่สด/แช่แข็งที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ประเภทสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวได้ดีถึงร้อยละ 59.11 โดยเฉพาะจากสินค้าอาหารกระป๋องและแปรรูปที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่หมวดนี้ก็มีสัดส่วนโดยรวมเพียงร้อยละ 5.56 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนลดลงเหลือร้อยละ 68.45 ของสินค้าส่งออกไทยโดยรวม จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 3 ใน 4 มาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 20.36
สรุปสถานการณ์การค้าไทย-สเปน ช่วง ม.ค.-ก.พ. ปี 2554
ตารางแสดงมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยมายังสเปน 10 อันดับแรก ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554
ที่ สินค้า มูลค่า (Mil. USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 ยางพารา 44.6 20.90 +76.89 2 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 31.0 14.50 +0.78 3 เสื้อผ้าสำเร็จรูป 28.5 13.35 +8.30 4 รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 9.0 4.21 +27.25 5 ผลิตภัณฑ์ยาง 7.5 3.52 +39.78 6 เม็ดพลาสติก 7.0 3.30 +406.64 7 กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง 6.4 3.00 +50.15 8 เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ 5.9 2.75 +49.32 9 ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 5.8 2.74 +23.89 10 เลนส์ 5.8 2.69 +5.87 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
จากโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทย พบว่าสินค้า 5 อันดับแรก มีสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 56 ของยอดส่งออกทั้งหมด โดยมียางพารา เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ครองสัดส่วนสูงเกินร้อยละ 10 ทั้ง 3 รายการ แต่ถ้านับรวมสินค้า 10 อันดับแรก ก็จะมีสัดส่วนการส่งออกกว่าร้อยละ 70 จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงของสินค้าที่เหลือไม่ค่อยมีผลกระทบกับยอดการส่งออกมากนัก
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของสเปนในปี 2553 ที่ผ่านมาจะยังไม่สามารถก้าวพ้นภาวะถดถอยที่กินเวลายาวนานต่อเนื่องกว่า 2 ปีก็ตาม แต่สินค้าไทยก็สามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 40 และต่อเนื่องมาถึงตอนต้นปี 2554 ก็ยังเติบโตต่อไปได้อีกร้อย 30 ท่ามกลางปัญหาการว่างงานที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ยังเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับร้อยละ 20 กอปรกับปัญหาการขาดดุลการคลังที่รัฐบาลยังต้องยึดนโยบายรัดเข็มขัดและปัญหาเงินเฟ้อที่ทุกประเทศกำลังเผชิญ อันจะส่งผลให้ผู้บริโภคยังต้องระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของปนี้จะสามารถปรับตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 0.8
ทั้งนี้ ในปี 2554 สินค้าที่จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดสเปน คือ ยางพารา ที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากภาวะความต้องการและระดับราคาของตลาดโลกที่อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือผันผวนได้
ขณะเดียวกันไทยนำเข้าสินค้าจากสเปนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 27.43 ซึ่งสินค้าส่วนมากเป็นสินค้าที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตและสินคากึ่งสำเร็จรูป ไดแก เคมีภัณฑ เหล็ก โลหะ และสัตวน้ำสด เปนตน รองลงมาเปนสินคาประเภททุน ไดแก เครื่องจักรตางๆและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑที่ทำจากโลหะและเหล็ก เป็นต้น ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าช่วงต้นปีนี้ไทยนำเข้าเครื่องบินเพื่อการเกษตรจากสเปน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีรายละเอียดการนำเข้าสินค้า 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ดังนี้
สรุปสถานการณ์การค้าไทย-สเปน ช่วง ม.ค.-ก.พ. ปี 2554
ตารางแสดงมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากสเปน 5 อันดับแรก ช่วง 2 เดือนแรก ปี 2554
สินค้า มูลค่า (Mil. USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) เคมีภัณฑ์ 11.1 12.69 -11.01 เครื่องบิน เครื่องร้อน อุปกรณ์การบินและส่วน 8.5 9.77 n/a ประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 8.3 9.49 -15.02 ผลิตภัณฑเวชกรรมและเภสัชกรรม 6.8 7.79 -4.16 เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 6.7 7.66 +107.62 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของราชอาณาจักรสเปนที่มีผลกระทบกับการส่งออกของไทย
จากแนวโน้มราคาน้ำมันและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลก จะเป็นตัวที่ส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสเปนเป็นไปได้อย่างจำกัด โดยเฉพาะข้อกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองทางตอนเหนือของแอฟริกา รวมทั้งระดับราคาสินค้าเกษตรที่มีราคาสูงกว่าระดับสูงสุดในช่วงวิกฤติด้านราคาอาหารเมื่อปี 2551 ตลอดจนสินค้าวัตถุดิบอื่นๆ อาทิเช่น ทอง เงิน ทองแดง และน้ำตาล แต่ก็มีสินค้าบางตัวที่ยังไม่ได้ปรับราคาขึ้นอย่างน้อยในช่วงนี้รวมทั้งสินค้าข้าว
นอกจากนั้น ธนาคารกลางของสหภาพยุโรปได้ปรับนโยบายการเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงฤดูใบไมผลินี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาเงินเฟ้อและผลกระทบอื่นๆที่จะตามมา โดยธนาคารกลางฯได้พยากรณ์ปรับอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2 ถึง 2.6 ขณะที่คณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรปประมาณการไว้ที่ร้อยละ 2.2 ซึ่งประมาณการทั้งสองตัวนับว่าสูงกว่าเป้าหมายความเสถียรภาพด้านราคา ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารได้ปรับขึ้นไปแล้วอีกร้อยละ 0.5 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แตะระดับร้อยละ 1.9 ในช่วงต้นเดือนมีนาคม จึงส่งผลให้ค่าเงินยูโรแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณอัตรา 1.4 รวมทั้งได้เปรียบเงินสกุลหลักอื่นๆอย่างเงินเยนและเงินปอนด์ด้วย
จากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อ GDP อย่างไรนั้นยังยากที่จะคาดเดาในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในตอนเหนือของแอฟริกาจะยาวนานจะลุกลามไปประเทศอื่นๆมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะประเทศซาอุดิอาระเบียที่ถือว่าเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลก อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญของประเทศพัฒนาแล้วต่างก็พยายามลดการพึ่งพาน้ำมันลงเป็นลำดับ
การคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรได้ปรับเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.1 เป็นร้อยละ 1.6 โดยหวังว่าประเทศสมาชิกหลักๆจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้รวมทั้งสเปนด้วยที่หวังว่าจะเติบโตได้ร้อยละ 0.8 ในปี 2554 ซึ่งเป็นอัตราเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรโดยรวม ส่วนปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสเปนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ได้แก่ การเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานจากน้ำมันมาก ระดับหนี้สาธารณะที่สูง และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
หากเศรษฐกิจสเปนขยายตัวไปไม่ถึงระดับที่คาดหวัง จะทำให้การลดระดับการขาดดุลการคลังไม่บรรลุเป้าหมายไปด้วย ในปี 2553 สามารถลดการขาดดุลการคลังลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ -9.24 ของ GDP ซึ่งเป็นผลงานสำคัญของรัฐบาลกลางที่สามารถตัดลดรายจยลงได้จำนวนมาก แต่ยังมีรัฐบาลระดับแคว้นอีก 9 แห่งที่ยังไม่สามารถควบคุมรายจ่ายลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะแคว้น Castile-La Mancha, Murcia, La Rioja และ Catalonia ที่มียอดขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งนี้ รัฐบาลของแคว้นต่างๆมีเป้าหมายที่จะต้องลดระดับขาดดุลการคลังรวมลงให้ได้ในสัดส่วนร้อยละ 1.5 ของ GDP ในปี 2554
ดังนั้น ความพยายามควบคุมรายจ่ายและการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างจริงจังจึงเป็นสิ่งจำเป็นในลำดับต้นๆ ส่วนสถานการณ์ของปัญหาเรื้อรังเกี่ยวกับการว่างงานก็ยังไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดลงได้เมื่อใดเฉพาะสองเดือนแรกของปี 2554 กลับมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นอีก 200,000 ราย ทั้งๆที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ที่จ่ายค่าประกันสังคมก็ลดจำนวนลง 237,000 ราย มากกว่า ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ อัตราการว่างงานในไตรมาสแรกนี้จะทำลายสถิติอีกต่อไป และไม่ต้องคาดหวังว่าระดับความเชื่อมั่นและการจับจ่ายใช้สอยของภาคครัวเรือนจะปรับตัวสูงขึ้น
คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป ได้ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีของสเปนขึ้นเป็นร้อยละ 2.4 ซึ่งเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา มาจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญสองประการ ได้แก่ ระดับราคาของพลังงานและอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตามทฤษฏีแล้วหวังว่าจะเป็นเพียงภาวการณ์ชั่วคราวเท่านั้น
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงมาดริด
ที่มา: http://www.depthai.go.th