ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาทมิฬนาฑู (โดยเฉพาะเจนไน) มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมูลค่า 623,500 ล้านรูปี และเร็วๆ นี้จะมีเงิน FDI อีกราว 220,000 ล้านรูปี ไม่นับรวมกับที่เข้าคิวรอการอนุมัติจากรัฐบาลอีกหลายรายที่สนใจอย่างยิ่งที่จะเข้าไปลงทุน เช่น เปอโยต์ แอลจีและ Alstom
ปี 2554 รัฐบาลทมิฬนาฑูได้ส่งทีมโรดโชว์ BOI ไปญี่ปุ่น เกาหลีและจีน ซึ่งได้รับการตอบรับดียิ่ง มีนักลงทุนเดินทางมาเยี่ยม BOI ทมิฬนาฑูไม่เว้นแต่ละวันเพื่อดูด้วยตาตนเองว่าน่าลงทุนจริงสมคำเชิญชวนหรือไม่ โดยรวมแล้วญี่ปุ่นสนใจเข้าไปลงทุนอย่างมาก แต่ผลจากปัญหาซึนามิและแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นอาจทำให้ญี่ปุ่นต้องรอการตัดสินใจระยะหนึ่งก่อน แต่เกาหลีและจีนก็พร้อมเสียบแทนญี่ปุ่นอยู่แล้ว ทั้งนี้ปัจจุบันเจนไนได้กลายเป็น “Hyundai city” ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากฮุนไดมีฐานการผลิตใหญ่อยู่มีเมืองนี้
นายไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ ผอ. สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไนกล่าวว่า การลงทุนในทมิฬนาฑูค่อนข้างมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ software, call center, BPOs, โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า โลหะอัลลอยด์ รวมไปถึงสาขาพลังงาน ส่งผลให้ทมิฬนาฑูมีการกระจายรายได้ค่อนข้างดี สิ่งดึงดูดการลงทุนที่สำคัญเป็นเรื่องแรงงานราคาถูกและมีคุณภาพ ที่ดินไม่แพงและมีมากมายเหลือเฟือ และที่สำคัญสิทธิประโยชน์ที่ให้กับนักลงทุนมากกว่ารัฐอื่น ส่วนปัญหาที่ยังมากอยู่คือพลังงานที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลทมิฬนาฑูก็กำลังเร่งการก่อสร้างโรงไฟฟ้า 5 โรงให้เสร็จสิ้นภายในปี 2011 ได้แก่ โรงไฟฟ้า Mettur (กำลังการผลิต 600 MW); โรงไฟฟ้าเจนไนเหนือ (1,200 MW), โรงไฟฟ้าชายฝั่ง Energen (กลุ่มบริษัท ETA)(1,200 MW); โรงไฟฟ้าNeyveli Lignite Power Corporation (500 MW) และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์Kudankulam (2,000 MW) ซึ่งน่าจะครอบคุมปริมาณไฟฟ้าที่ขาดแคลนอยู่ในปัจจุบันประมาณ 3,000 MW ดังนั้นเป้าหมายการส่งออกของสินค้าไทยไปยังอินเดีย ณ เวลานี้ไม่ใช่เมืองอื่นๆ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นที่เมืองเจนไนเพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการไหลเข้าของ FDI ดังกล่าว รวมถึงการป้อนชิ้นส่วน/วัตถุดิบเข้าจากไทยเข้าสู่สายการผลิตของโรงงานต่างๆ
ที่มา: http://www.depthai.go.th