นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่ากการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานในงานแถลงข่าวโครงการผลไม้ไทยสู่ตลาดโลกปีที่ 3 โดยมีนางอัญชลี พรหมนาถ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก นายสุนทร อรุณานนท์ชัย ประธานกรรมการเทสโก้โลตัส และคุณพิชัย จึงอนุวัตร กรรมการผู้จัดการฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณีย์ภัณฑ์หรือคาร์โก้การบินไทย พร้อมด้วยผู้บริหารดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน เข้าร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าวดังกล่าว
ภายในงานนางพรทิวา เผยว่า ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ทางเทศโก้ในสหาราอาณาจักรจะร่วมมือกับกรมส่งเสริมการส่งออกกระทรวงพาณิชย์จัดงานส่งเสริมการขายผลไม้ไทยภายใต้ชื่องาน “Healthy and Tasty from Thailand” งานนี้จะเป็นการประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยนานาชนิดที่มีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ โดยปีนี้เรานำเสนอผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งจากปีก่อนได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้ ลิ้นจี่ และแก้วมังกร ให้ชาวอังกฤษที่นิยมบริภาคผลไม้ได้รู้จักผลไม้ไทยกันมากขึ้น
“กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายในการทำงานร่วมกับผู้นำเข้า ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และผู้ค้าปลีกอย่างใกล้ชิดในด้านการส่งเสริมการตลาด รวมทั้งการกระจายผลไม้ไทยที่มีคุณภาพ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก หรือแหล่งผลิต ไปจนถึงมือผู้บริโภค ตลอดจนผู้ส่งออกไทยมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าผลไม้จากประเทศไทย มีคุณภาพและปลอดภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายมูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ไปยังตลาดโลกร้อยละ 10 ในปี 2554 คิดเป็นมูลค่ากว่า 826.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ซึ่งโครงการผลไม้ไทยสู่ตลาดโลกถือเป็นหนึ่งในนบายการเจาะตลาดเชิงรุก โดยในปีนี้จัดเป็นปีที่ 2 ซึ่งการจัดงานที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง เราได้ส่งออกผลไม้ฤดูกาล เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ ลิ้นจี่ และแก้วมังกร ไปจำหน่าย ณ สาขาต่างๆ ของห้างเทสโก้กว่า 500 สาขาในสหราชอาณาจักร ในปริมาณกว่า 90 ตัน มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 48 ล้านบาท” นางพรทิวา กล่าวเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี สินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทย เพราะภาคการเกษตรมีมูลค่ากว่าร้อยละ 11 ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ ซึ่งโครงการนี้จะส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศ เกษตรกรไทยจะมีรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมีสินค้าผลไม้คุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมสำหรับการบริโภค และโครงการนี้ยังช่วยผลักดันให้มีการนำเข้าผลไม้ไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับความนิยมของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักร
ที่มา: http://www.depthai.go.th