รายงานผลกระทบจากการล่มสลายทางการเงินของโปรตุเกสกับการส่งออกของไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 11, 2011 13:55 —กรมส่งเสริมการส่งออก

สถานการณ์การเมือง

จากการที่นายกรัฐมนตรี Jose Socrates ของโปรตุเกส ได้ขอลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2554 หลังจากมาตรการรัดเข็มขัดอย่างเข้มข้นรอบใหม่ของรัฐบาลไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐสภา หลังจากนั้น ประธานาธิบดี Cavaco Silva ได้ตัดสินใจยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2554

ต่อมาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2553 นาย Jose Socrates ในฐานะนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลรักษาการ ได้ออกแถลงการณ์ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศโดยลำพัง และได้ตัดสินใจขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากภายนอกแล้วซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้หลังจากที่พยายามปฏิเสธความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศมาเป็นระยะๆในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากประสบภาวะหนี้ในระดับสูงโดยไม่สามารถเพิ่มเงินในตลาดทุนได้อีกต่อไป หลังจากที่ธนาคารต่างๆในโปรตุเกสได้พร้อมใจกันออกมาเตือนรัฐบาลว่า ไม่สามารถจะแบกรับหรือเข้าซื้อหนี้ของประเทศไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่

ซึ่งโปรตุเกสมีกำหนดจะต้องชำระคืนพันธบัตรจำนวนมากในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนในการจ่ายดอกเบี้ยคืนสำหรับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปีและ 10 ปีทะยานสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ระดับกว่าร้อยละ 8

ในเบื้องต้น คาดว่าโปรตุเกสต้องการเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และ IMF ในวงเงินประมาณ 5-8 หมื่นล้านยูโร

คาดการณ์ทางเศรษฐกิจของโปรตุเกส

ธนาคารชาติโปรตุเกส คาดการณ์ว่า GDP ของโปรตุเกสปีนี้จะหดตัวลงร้อยละ 1.4 และจะขยับขึ้นเป็นร้อยละ 0.3 ในปี 2555 ทั้งนี้ เมื่อมาตรการรัดเข็มขัดล่าสุดเพื่อหวังจะลดการขาดดุลการคลังได้เริ่มขึ้นแล้ว จะทำให้อุปสงค์ภายในประเทศลดลงร้อยละ 3.6 ในปีนี้ และลดลงอีกร้อยละ 1 ในปีถัดไป ส่วนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนก็จะปรับตัวในทิศทางเดียวกันคือลดลงร้อยละ 1.9 และ 1.0 ในช่วงสองปีข้างหน้าตามลำดับ โดยจะมีอัตราเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 3.6 ขณะที่อัตราการว่างงานจะยังสูงอยู่ที่ระดับ 11.2 และอุปสงค์ที่ลดลงจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าลดลงร้อยละ 1.6 ในปี 2554

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงตามลำดับ ทำให้ประชาชนรู้สึกผิดหวังกับหนทางการฟื้นวิกฤตของประเทศในครั้งนี้ โดยมีกลุ่มชุมนุมต่างๆประกาศดำเนินการประท้วงต่อไปและเพิ่มจำนวนมากขึ้นต่อมาตรการรัดเข็มขัดอย่างเข้มข้นของรัฐบาลที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ต้นปีนี้ จากตัวเลขการขาดดุลการคลังปี 2553 ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ออกมาเปิดเผยว่าอยู่ที่ร้อยละ 8.6 ซึ่งขัดแย้งกับตัวเลขที่รัฐบาลเคยประกาศไว้ที่ร้อยละ 7.3 เสมือนมีนัยว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามปกปิดความจริงและปรับตัวเลขให้ดูน่าเชื่อถือมาโดยตลอด

นอกจากนั้น ทั้งฝ่ายรัฐบาลรักษาการและพรรคฝ่ายค้าน พยายามสงวนท่าทีไม่ต้องการได้ชื่อหรือถูกประณามว่าเป็นผู้ไปขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศเข้ามาและทำให้เสียศักดิ์ศรีของชาติ ทั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั่วไป ยังจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการขจัดปัญหาการลดการขาดดุลการคลังอย่างต่อเนื่องและจริงจังต่อไป โดยมีเป้าหมายจะต้องลดการขาดดุลจากร้อยละ 7 ของ GDP ในปีที่ผ่านมาให้อยู่ระดับร้อยละ 4.6 ภายในปีนี้ และร้อยละ 3 และ 2 ในปี 2555 และ 2556 ตามลำดับตามข้อกำหนดของแผน EU-Stability and Growth Pact ของสหภาพยุโรป ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามลดแรงเสียดทานจากประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มพนักงานของรัฐ หรือ กลุ่มคนเกษียณที่รับบำนาญจากรัฐที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการถูกตัดรายได้ลง นอกจากนั้น ยังมีมีปัญหาการว่างงานที่ส่อว่าจะรุนแรงขึ้นเป็นลำดับอีกด้วย

ภาพรวมการส่งออกของไทย

ในปี 2553 ไทย-โปรตุเกส มีมูลค่าการค้ารวม 204 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยส่งสินค้าไปยังโปรตุเกสเป็นมูลค่า 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นำเข้าจากโปรตุเกส 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยได้แก่ รถยนต์/อุปกรณ์

และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ก๊อก/วาล์วและส่วนประกอบ และด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ ตารางแสดงมูลค่าการค้าไทย-โปรตุเกส ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554

                                ก.พ. 2554                           ม.ค.-ก.พ. 2554
                                        เพิ่ม/ลด (%)                          เพิ่ม/ลด (%) จาก
                    มูลค่า (Mil. US$)     จากเดือนก่อน          มูลค่า (Mil. US$)  ช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่งออก                   18.77             +5.43                 36.6             +24.74
นำเข้า                    2.96            -19.19                  6.6              -4.63
การค้ารวม                21.73             +1.26                 43.2             +19.34
ดุลการค้า                +15.81            +11.81                +30.0             +33.93
ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ไทยกับโปรตุเกสมีมูลค่าการค้ารวม 21.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายส่งออกไปโปรตุเกส 18.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.43 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดยมีหมวดสินค้าสำคัญที่ปรับตัวเพิ่ม คือ เม็ดพลาสติก (+90.76%) ก๊อก/วาล์วและส่วนประกอบ (+318.98%) ผลิตภัณฑ์ยาง (+22.64%) และเครื่องรับวิทยุ/โทรทัศน์และส่วนประกอบ (+6.05%) แต่ก็มีสินค้าหลักหลายรายการที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ รถยนต์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-20.41%) ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ (-24.84%) และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (-68.80%) ขณะที่ไทยนำเข้าจากโปรตุเกส มูลค่า 2.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯลดลงร้อยละ 19.19 ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้าในเดือนนี้เพิ่มขึ้นอีก 15.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในช่วง 2 เดือนแรก ปี 2554 ไทย-โปรตุเกส มียอดการค้ารวม 43.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไทยมียอดส่งออกไปโปรตุเกสรวม 36.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.74 ซึ่งสามารถแบ่งโครงสร้างสินค้าส่งออก ได้ดังนี้

ตารางแสดงโครงสร้างมูลค่าสินค้าส่งออกไทยมายังโปรตุเกส ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554

  ที่            ประเภทสินค้า                  มูลค่า (Mil. USD)          สัดส่วน (%)       เปลี่ยนแปลง (%)
 1 เกษตรกรรม(กสิกรรม+ปศุสัตว์+ประมง)                 1.5                 4.10              -12.28
 2 อุตสาหกรรมการเกษตร                             1.0                 2.73              +66.50
 3 อุตสาหกรรม                                    34.1                93.17              +26.06
                          รวม                   36.6               100.00              +24.74
ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร

เมื่อเทียบกับช่วง 2 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา พบว่าประเภทสินค้าเกษตรกรรม มีสัดส่วนร้อยละ 4.1 มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 12.28 ซึ่งเป็นผลจากสินค้าข้าวที่ปรับตัวลดลงมาก ขณะเดียวกัน ประเภทสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวได้ดีถึงร้อยละ 66.50 โดยเฉพาะจากสินค้าอาหารกระป๋องและแปรรูปที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่หมวดนี้ก็มีสัดส่วนโดยรวมเพียงร้อยละ 2.73 เท่านั้น ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 93.17 ของสินค้าส่งออกไทยโดยรวม และสามารถเติบโตได้ร้อยละ 24.74 โดยมีสินค้าสำคัญ ได้แก่ รถยนต์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง และวัสดุสิ่งทอ

ตารางแสดงมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังโปรตุเกส 10 อันดับแรก ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554

  ที่                  สินค้า                    มูลค่า (Mil. USD)          สัดส่วน (%)       เปลี่ยนแปลง (%)
 1 รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ                        9.5                25.86               +4.65
 2 เม็ดพลาสติก                                       5.2                14.12              +368.5
 3 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ                       3.2                 8.63              +21.41
 4 ก๊อก วาล์วและส่วนประกอบ                            2.5                 6.93             +429.27
 5 ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์                               2.2                 6.15              -14.67
 6 ผลิตภัณฑ์ยาง                                       2.1                 5.79              +32.04
 7 เครื่องรับวิทยุ/โทรทัศน์และส่วนประกอบ                   1.4                 4.63            +1272.20
 8 วงจรพิมพ์                                         1.2                 3.29              +77.60
 9 เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ                1.0                 2.81              +17.20
10 เครื่องวิดีโอ/เครื่องเสียง/อุปกรณ์และ                    0.8                 2.21              -69.56
ส่วนประกอบ
ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร

จากโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทย พบว่าสินค้า 10 อันดับแรก จะเห็นว่ามีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ของยอดส่งออกทั้งหมด จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงของสินค้าที่เหลือไม่ค่อยมีผลกระทบกับยอดการส่งออกมากนัก โดยมีรถยนต์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่ครองสัดส่วนสูงที่สุดเกินกว่า 1 ใน 4 ของยอดส่งออกรวม แต่ถ้านับเฉพาะสินค้า 5 อันดับแรก ก็จะมีสัดส่วนการส่งออกเกินกว่าร้อยละ 60

สรุปผลกระทบต่อการส่งออกไทย

จากยอดการส่งออกของไทยไปยังโปรตุเกส มีสัดส่วนมูลค่าเพียงร้อยละ 0.09 ของยอดรวมการส่งออกไทยทั้งหมด ดังนั้น การล่มสลายทางการเงินของโปรตุเกสจึงมีผลกระทบกับการส่งออกไทยในภาพรวมในอัตราที่ต่ำมากหรือเรียกได้ว่าไม่มีผลกระทบเลย

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของโปรตุเกสในปี 2553 ที่ผ่านมาจะยังไม่สามารถก้าวพ้นภาวะถดถอยที่กินเวลายาวนานต่อเนื่องกว่า 2 ปีก็ตาม แต่สินค้าไทยก็สามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 25.17 และต่อเนื่องมาถึงตอนต้นปี 2554 ก็ยังเติบโตต่อไปได้อีกร้อย 24.74 ท่ามกลางปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่รุมเร้า กอปรกับปัญหาการขาดดุลการคลังที่รัฐบาลยังต้องยึดนโยบายรัดเข็มขัดอย่างเข้มข้นและปัญหาเงินเฟ้อที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ อันจะส่งผลบีบบังคับให้ผู้บริโภคยังต้องระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยต่อไป

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2554 ยอดการส่งออกของไทยในตลาดโปรตุเกส จะยังขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 15 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 194 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ลดลง ได้แก่ รถยนต์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า และวัสดุก่อสร้าง

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงมาดริด

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ