อินเดียมีเส้นทางขนส่งทางแม่น้ำ-ลำคลองรวม 14,500 กิโลเมตร และมีการเดินเรือชายฝั่งทะเลอีก 7,517 กิโลเมตร สำหรับการขนส่งทางแม่น้ำ-ลำคลองที่สำคัญมี 5 เส้นทาง คือ
1. เส้นทาง NW1 (National Waterway — 1) เชื่อมแม่น้ำ 3 สาย คือ Ganga-Bhagirathi-Hooghly จากเมือง Allahabad ถึงเมือง Haldia ระยะทาง1,620 กิโลเมตร
2. เส้นทาง NW2 (National Waterway — 2) ตามลำน้ำ Brahmaputra river จากเมือง Sadiya ไปยังเมือง Dhubri ระยะทาง 891 กิโลเมตร
3. เส้นทาง NW3 (National Waterway — 3) เป็นคลองขนานชายฝั่งตะวันตก (The West Coast Canal- ระยะทาง205 กิโลเมตร แบ่งเป็น 3 ตอน คือ 1) ช่วงเมือง Kollam ถึงเมือง Kottapuram ระยะทาง 168 กิโลเมตร 2) ช่วงคลอง Champakara canal ระยะทาง 14 กิโลเมตร และ 3) ช่วงคลอง Udyogmandal canal ระยะทาง 23 กิโลเมตร
4. เส้นทาง NW4 (National Waterway — 4) เป็นการเชื่อมโยงคลอง Kakinada — Puducherry canal เข้ากับแม่น้ำ Godavari และแม่น้ำ Krishna เข้าด้วยกัน ระยะทาง 1,095 กิโลเมตร เชื่อมโยง 3 รัฐเข้าด้วยกัน คือ อานธรประเทศ ทมิฬนาฑู และพอนดิเชอรี
5. เส้นทาง NW5 (National Waterway — 5) หรือ East Coast Canal เป็นการผนวก 3 เหลี่ยมปากแม่น้ำ Brahmani และ Mahanadi เข้าด้วยกัน มีระยะทางทั้งสิ้น 623 กิโลเมตร เป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมโยงระหว่างรัฐเบงกอลตะวันตกและโอริสสา ในด้านการขนส่งสินค้าชายฝั่ง ส่วนใหญ่ 90% ใช้บริการของท่าเรือ Chennai, Kandla, Mumbai, Nhava Sheva, Marmagao, Cochin, Tuticorin, Vishakapatnam, Paradwip, Haldia,Goaand Kolkata.
นายไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ ผอ. สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไน กล่าวว่า การขนส่งทางน้ำเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีอันหนึ่งของผู้ส่งออกไทยในการกระจายสินค้าในตลาดอินเดียเนื่องจากมีราคาถูก และสินค้าเสียหายน้อยกว่าการขนส่งทางบก ดังนั้นการขนส่งทางน้ำจึงเป็นทางเลือกที่ผู้ส่งออกไทยไม่ควรมองข้าม ปัจจุบันคนอินเดียมีกำลังซื้อสูงขึ้น มีเศรษฐีใหม่คนชั้นกลางกว่า 300 ล้านคน อันเนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะด้าน IT และยานยนต์ จึงเป็นโอกาสดีที่สินค้าไทยไทยจะสามารถเจาะตลาดได้มากขึ้น โดยสินค้าไทยที่มีศักยภาพ ได้แก่ สินค้าอาหาร ชิ้นส่วนยานยต์ รองเท้า/ชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์หนังฟอก ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้ โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ หม้อแปลง ลิฟต์ บันไดเลื่อน สิ่งปรุงแต่งรสอาหาร เฟอร์นิเจอร์ ไม้อัด ไม้ยางพารา ไฟเบอร์บอร์ด กระดาษ ของเล่น/เฟอร์นิเจอร์/ของใช้เด็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติก เมลามีน ยาง/ผลิตภัณฑ์ อลูมิเนียม และทองรูปพรรณ (อินเดียบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก)
ปัจจุบันสินค้าส่งออกของไทยได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลดภาษีภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) และกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ทำให้สินค้าส่งออกหลายรายการมีแนวโน้มเข้าสู่ตลาดอินเดียได้มากขึ้น เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
FTA ไทย-อินเดีย ไทยและอินเดียได้ตกลงลดภาษีระหว่างกันในรายการสินค้าเร่งลดภาษี (Early Harvest Scheme) จำนวน 82 รายการ โดยทั้ง 82 รายการมีอัตราภาษี 0% ปัจจุบัน ไทย-อินเดียอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้าในส่วนที่เหลือ สินค้าที่มีศักยภาพส่งออกไปอินเดียภายใต้ FTA ไทย — อินเดีย ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ อะลูมิเนียมเจือ เครื่องประดับเพชรพลอย โพลิคาร์บอเนต ชิ้นส่วนยายนยนต์ พัดลม และเครื่องจักรกลการเกษตร
ตรวจสอบข้อมูลสินค้าที่ได้รับประโยชน์จาก FTA ไทย — อินเดีย(TIFTA)ได้ที่
http://www.dft.go.th/level4Frame.asp?sPage=the_files/$$12/level3/fta_ind.htm&level3=1068
FTA อาเซียน-อินเดีย มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ครอบคลุมสินค้ากว่า 4,800 รายการ โดยสินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ กรดเทเรฟทาลิก เครื่องยนต์ดีเซล เอทิลีน ผ้าใบยางรถยนต์ ถังเชื้อเพลิง ยางสังเคราะห์ และเครื่องรับวิทยุ เป็นต้น
ตรวจสอบข้อมูลสินค้าที่ได้รับประโยชน์จาก FTA อาเซียน — อินเดีย(AIFTA) ได้ที่
http://www.dft.go.th/level4Frame.asp?sPage=the_files/$$12/level3/Asean_India.htm&level3=1236
ดร. ไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไน
ที่มา: http://www.depthai.go.th