วารสาร Business today ของอินเดียเปิดเผยว่า โฆษณายอดนิยม ที่มีผู้เข้าดูข้อมูลด้วยมือถือผ่านระบบ GRPs มากที่สุดในเดือนมกราคม 2554 มี 10 อันดับแรก ดังนี้
1. Surf Excel ออกอากาศ 471,220 วินาที GRPs 1,127 ครั้ง 2. Complan (ธัญพืชเพื่อสุขภาพ) ออกอากาศ 322,175 วินาที GRPs 1,075 ครั้ง 3. Vodafone ออกอากาศ 760,700 วินาที GRPs 1,044 ครั้ง 4. Bajaj Discover 150 ออกอากาศ 260,720 วินาที GRPs 963 ครั้ง 5. Dove Intense Repair Therapy ออกอากาศ 339,935 วินาที GRPs 948 ครั้ง 6. Clinic Plus Rapunzel ออกอากาศ 310,515 วินาที GRPs 842 ครั้ง 7. Tata Nano ออกอากาศ 268,515 วินาที GRPs 793 ครั้ง 8. Huggies Care ออกอากาศ 250,555 วินาที GRPs 785 ครั้ง 9. ICC Word Cup 2011 ออกอากาศ 357,750 วินาที GRPs 735 ครั้ง 10.Act II Microwave Popcorn ออกอากาศ 162,845 วินาที GRPs 734 ครั้ง
(ข้าวโพดคั่วกึ่งสำเร็จรูป)
Consumer goods ยังคงครองแชมป์ยอดนิยมในตลาดอินเดียโดยมีสัดส่วน 54% ของค่าใช้จ่ายใช้สอยของคนอินเดียในแต่ละครัวเรือน เป็นที่น่าสังเกตว่าอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเคยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในอินเดีย กลับเป็นที่นิยมมากขึ้นเป็นลำดับ สำหรับโฆษณาแชมพูที่ติดอันดับ top ten ถึง 2 ยี่ห้อ สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงอินเดียรุ่นใหม่มีกำลังซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานในบริษัท IT
ตลาดจักรยานยนต์อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 2 รองจากจีน มียอดขายกว่า 7 ล้านคันในแต่ละปี
โฆษณายอดนิยม อันดับที่ 11 — 25 GRPs 1 โคคา-โคลา 646 2 Fair & Lovely Multivitamin 631 3 Lifebuoy Total 615 4 UltraTech Cement 605 5 Stayfree Secure Dry Ultra tin 601 6 Micromax Mobile 595 7 Maruti Suzuki Ritz 565 8 Sun Direct 547 9 Calgate 360 Actiflex 527 10 Cadbury Dairy Milk Silk 525 11 Head & Shoulders Dandruff 521 12 Cadbury Perk Clucose 502 13 Rin (New Flavour) 481 14 Tata sky (Cable TV) 480 15 Nestle Munch 472
โดยมีฮีโร่-ฮอนดา เป็นผู้นำตลาด (54%) ส่วน Bajaj มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 (29%) แต่ด้วยเทคโนโลยีความแรงจากอิตาลีและการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวตอบสนองความต้องการของคนอินเดียที่นิยมความแรงได้เป็นอย่างดี ทำให้ Bajaj เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับฮีโร่-ฮอนดา
สินค้าเกี่ยวกับเด็กเป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูง สำหรับตลาดที่มีประชากร 1.2 พันล้านคนเช่นอินเดีย โดยมีการขยายตัว 1.34% ต่อปี อินเดียมีประชากรอายุ 1-14 ปีจำนวน 360 ล้านคน และมีประชากรอายุต่ำกว่า 25 ปี ราว 500 ล้านคน ขณะที่คนอินเดียมีกำลังซื้อสูงขึ้น จึงให้ความสำคัญกับสินค้าเกี่ยวกับเด็กมากขึ้น เช่น ของเล่น ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และของเล่นเพื่อการศึกษา ไม่ใช่คำนึงถึงราคาถูกเป็นหลักเหมือนในอีดต
สำหรับกีฬาคริกเก็ตเป็นกีฬาที่คนอินเดียคลั่งไคล้มากที่สุด และน่าจะเป็นกีฬาชนิดเดียวที่คนอินเดียเล่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่มีการแข่งแมทช์ใหญ่ๆ จึงมักมีสินค้าต่างๆ เป็นจำนวนมากพากันโหนกระแสคริกเก็ต ด้วยการเป็นสปอนเซอร์ ดังนั้น สินค้าไทยที่จะเจาะตลาดอินเดียต้องคำนึงถึงประเด็นคริกเก็ต fervor ไว้ด้วย
สำหรับกีฬาคริกเก็ตเป็นกีฬาที่คนอินเดียคลั่งไคล้มากที่สุด และน่าจะเป็นกีฬาชนิดเดียวที่คนอินเดียเล่นกัน นักกีฬาดังๆ มีรายได้เข้าขั้นเศรษฐี และได้รับการเทิดทูนบูชาราวกับเทวดา ดังนั้นทุกครั้งที่มีการแข่งแมทช์ใหญ่ๆ จึงมักมีสินค้าต่างๆ เป็นจำนวนมากพากันโหนกระแสคริกเก็ต ด้วยการเป็นสปอนเซอร์ ดังนั้น สินค้าไทยที่จะเจาะตลาดอินเดียต้องคำนึงถึงประเด็นคริกเก็ตไว้ด้วย
ส่วน Tata Nano ถือว่าเป็นรถในฝันของคนอินเดียเลยก็ว่าได้ เพราะทั้งถูก ทั้งทน ประหยัดน้ำมัน แถมติดแอร์ได้ ราคาก็แสนถูก เพียง 100,000 รูปี ถูกกว่ารถ 3 ล้อเครื่องเสียอีก (3 ล้อเครื่องราคา 150,000 รูปี) จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ Tata Nano ประสบความสำเร็จในตลาดอินเดีย อย่างไรก็ตาม ผลจากปัญหามวลชนต่อต้านที่ทำให้ทาทาต้องย้ายฐานการผลิต Tata Nano จากเบงกอลตะวันตกไปยังกุจราช ทำให้ทาทาจำต้องชะลอแผนการเจาะตลาดอาเซียนไว้ก่อน เนื่องจากต้นทุนการขนส่งที่ต้องใช้ระยะทางไกลกว่าเดิม ส่งผลให้ทาทานาโนทำตลาดได้ยากขึ้นในต่างประเทศ อนึ่ง รถยอดนิยมของคนอินเดียเป็นรถขนาดต่ำกว่า 1,000 cc.
ในภาพรวม ปัจจุบันคนอินเดียมีกำลังซื้อสูงขึ้น มีเศรษฐีใหม่คนชั้นกลางกว่า 300 ล้านคน อันเนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะด้าน IT และยานยนต์ จึงเป็นโอกาสดีที่สินค้าไทยไทยจะสามารถเจาะตลาดได้มากขึ้น โดยสินค้าไทยที่มีศักยภาพ ได้แก่ สินค้าอาหาร ชิ้นส่วนยานยต์ รองเท้า/ชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์หนังฟอก ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้ โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ หม้อแปลง ลิฟต์ บันไดเลื่อน สิ่งปรุงแต่งรสอาหาร เฟอร์นิเจอร์ ไม้อัด ไม้ยางพารา ไฟเบอร์บอร์ด กระดาษ ของเล่น/เฟอร์นิเจอร์/ของใช้เด็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติก เมลามีน ยาง/ผลิตภัณฑ์ อลูมิเนียม และทองรูปพรรณ (อินเดียบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก)
ปัจจุบันสินค้าส่งออกของไทยได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลดภาษีภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) และกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ทำให้สินค้าส่งออกหลายรายการมีแนวโน้มเข้าสู่ตลาดอินเดียได้มากขึ้น เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
FTA ไทย-อินเดีย ไทยและอินเดียได้ตกลงลดภาษีระหว่างกันในรายการสินค้าเร่งลดภาษี (Early Harvest Scheme) จำนวน 82 รายการ โดยทั้ง 82 รายการมีอัตราภาษี 0% ปัจจุบัน ไทย-อินเดียอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมการเปิดเสรีสินค้าในส่วนที่เหลือ สินค้าที่มีศักยภาพส่งออกไปอินเดียภายใต้ FTA ไทย — อินเดีย ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ อะลูมิเนียมเจือ เครื่องประดับเพชรพลอย โพลิคาร์บอเนต ชิ้นส่วนยายนยนต์ พัดลม และเครื่องจักรกลการเกษตร
ตรวจสอบข้อมูลสินค้าที่ได้รับประโยชน์จาก FTA ไทย — อินเดีย(TIFTA)ได้ที่
http://www.dft.go.th/level4Frame.asp?sPage=the_files/$$12/level3/fta_ind.htm&level3=1068
FTA อาเซียน-อินเดีย มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ครอบคลุมสินค้ากว่า 4,800 รายการ โดยสินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ กรดเทเรฟทาลิก เครื่องยนต์ดีเซล เอทิลีน ผ้าใบยางรถยนต์ ถังเชื้อเพลิง ยางสังเคราะห์ และเครื่องรับวิทยุ เป็นต้น
ตรวจสอบข้อมูลสินค้าที่ได้รับประโยชน์จาก FTA อาเซียน — อินเดีย(AIFTA) ได้ที่
http://www.dft.go.th/level4Frame.asp?sPage=the_files/$$12/level3/Asean_India.htm&level3=1236
ที่มา: http://www.depthai.go.th